Please wait...
SOLUTIONS CORNER
ปัญหาที่เจอบ่อยใน Windows 11 พร้อมวิธีแก้ไข

ปัญหาที่เจอบ่อยใน Windows 11 พร้อมวิธีแก้ไข

 
Most common windows11 problems and how to fix them


ระบบปฏิบัติการตัวล่าสุดของ Microsoft ดูจะเจอปัญหาเบสิกมากมายเข้ามารุมเร้าเลยทีเดียว
 

เปิดตัวมาเกือบปีแล้ว แต่วงการไอทีก็ยังไม่ยอมรับระบบปฏิบัติการล่าสุดของ Microsoft มาใช้งานได้อย่างสนิทใจเสียที แต่มันมีการอัปเดตอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแสดงว่าปัญหาอะไรก็ตามที่ถูกรายงานไปมักจะเป็นปัญหาอยู่ไม่นาน
 
ตัวเลขสถิติจาก Statcounter ชี้ว่า Windows 11 เพิ่งแทนที่ Windows 7 ในด้านสัดส่วนจำนวนผู้ใช้ Windows มาได้ม่าน แม้ว่า Microsoft จะเปิดให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 10 ได้ฟรีก็ตาม
 
อย่างไรก็ตาม ระบบปฏิบัติการล่าสุดนั้นสำคัญที่สุดสำหรับ Microsoft และเป็นหนึ่งเดียวในระบบปฏิบัติการที่ยังไม่ EoL (ช่วงเวลาที่ระบบปฏิบัติการไม่รองรับการอัปเดตใหม่ๆ อีกต่อไปแล้ว) หรือยังไม่มีกำหนดการถูก EoL
 
ผู้ใช้มักจะเจอปัญหาความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์บางประเภทเมื่อทำการอัปเกรดเป็น Windows 11 ตั้งแต่ช่วงเปิดตัวแรกๆ แต่ผ่านมาแล้ว 11 เดือน ปัญหาพวกนี้ส่วนมากถูกปรับแก้หมดแล้ว
 
ทั้งนี้ ก็ยังมีปัญหาบางอย่างบนตัว Windows 11 อยู่ที่กระทบกับการใช้งานประจำวันของผู้ใช้ แต่โชคดีที่ปัญหาส่วนใหญ่เหล่านี้มีวิธีแก้ง่ายๆ ที่รวดเร็วที่สามารถช่วยให้มันกลับมาทำงานได้เต็มกำลังอีกครั้ง
 

อัปเกรดเป็น Windows 11 ไม่ได้

ผู้ใช้มักจะแยกระหว่างต้องการอัปเกรดเป็นระบบปฏิบัติการใหม่ทันทีที่เปิดตัว กับผู้ใช้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการอัปเกรด รวมถึงการที่ต้องมาเรียนรู้อินเทอร์เฟซผู้ใช้ใหม่ บางครั้ง ผู้ที่ต้องการอัปเกรดก็ไม่สามารถอัปเกรดได้ด้วยเหตุผลหลายประการ แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดว่าทำไมผู้ใช้ถึงไม่ได้อัปเกรดฟรี อาจเป็นเพราะฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานอยู่
 
Microsoft กำหนดฮาร์ดแวร์ที่มีสิทธิอัปเกรดเป็น Windows 11 ไว้อย่างเข้มงวด สิ่งที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ ต้องมีโปรเซสเซอร์ที่ทันสมัยประมาณหลังปี 2018 เป็นต้นไป และใช้ชิป TPM 2.0 ซึ่งหมายความว่า ต่อให้คุณจะมีโปรเซสเซอร์สุดทรงพลังที่ซื้อมาเมื่อห้าปีก่อน ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ที่ทำงานกับเวิร์กโหลดที่ต้องใช้พลังงานสูงทุกวันได้โดยไม่มีปัญหา คุณก็อาจไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้อยู่ดี
 
ในช่วงเดือนแรกๆ หลังจากเปิดตัวไปในเดือนตุลาคม ปี 2021 ระบบ Windows 11 ยังไม่พร้อมให้ผู้ใช้บางรายใช้งาน เพียงเพราะมีการให้อัปเกรดฟรีในเวลาที่เหลื่อมล้ำกัน ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ผู้ใช้ที่มีฮาร์ดแวร์ใหม่ที่เข้ากันได้ ก็อาจไม่มีตัวเลือกให้อัปเกรดเป็น Windows 11 แต่ขณะนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีหลังจากเปิดตัว ผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่สามารถอัปเกรดได้ จะมีตัวเลือกให้ทำการอัปเดต Windows ในหน้าจอ Windows Update แต่ก็มีการอัปเดตแบบบังคับให้ผู้ที่ยังต้องรอเช่นกัน คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสำรองข้อมูลสำคัญๆ ทุกอย่างบน Windows 10 ไว้แล้วหรือยัง ก่อนที่จะพยายามอัปเกรดเป็น Windows 11
 

Windows 11 ช้ามากและค้าง

ระบบปฏิบัติการตัวนี้ยังใหม่ แต่ไม่ได้แปลว่าจะทำงานได้มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกับพีซีตัวใหม่เอี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเพิ่งอัปเกรดจาก Windows 10
 
ถ้า Windows 11 ทำงานได้ช้ามากหรือถึงขั้นทำเครื่องค้าง ขอให้คุณลองทำตามนี้ วิธีแรกก็คือให้ลองอัปเดตไดรฟ์ จะได้มั่นใจได้ว่าพวกองค์ประกอบหลักๆ อย่างเช่นการ์ดจอนั้นทำงานด้วยไดรเวอร์รุ่นล่าสุด ไม่ใช่ไดรเวอร์ที่ยังเป็นของ Windows 10 ปัจจุบันนี้ ผู้ผลิตพีซีรายหลักส่วนมากมักจะให้ส่วนเสริมมาพร้อมกับตัวพีซีแล้ว เช่น Lenovo Vantage หรือ Dell Update ซึ่งการทำสิ่งนี้จะช่วยให้มีไดรเวอร์ใหม่ล่าสุด โดยให้อัปเดตทั้งหมดให้เรียบร้อย อีกวิธีหนึ่งก็คือ ให้เปิดเมนูการตั้งค่า Windows 11 แล้วเลือก Windows Update, Advanced Options และเลือกตัวเลือก Optional Updates ในหน้านั้น นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งในการอัปเดตไดรเวอร์ที่มีปัญหาให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
 
ถ้าอัปเกรดมาจาก Windows 10 ปัญหาอาจมาจากซอฟต์แวร์เก่าที่รบกวนระบบของคุณ ในเมนู Advanced Options อันเดิม คุณจะเห็นตัวเลือกให้ Reset your PC ของคุณอยู่ใต้เมนู Recovery ซึ่งจะช่วยให้คุณรีเซ็ตระบบเหมือนติดตั้ง Windows 11 ใหม่ แต่ยังเก็บไฟล์ทั้งหมดไว้ได้ ข้อเสียคือจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน Windows ใดๆ ก็ตามใหม่อีกครั้ง เราเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งว่าการรีเซ็ตนั้นทำให้เครื่องหน่วงๆ เหมือนได้เกิดใหม่ขนาดไหน แต่ยังไงก็อย่าลืมสำรองข้อมูลแบบเต็มๆ ไว้ก่อนในกรณีที่มีอะไรผิดพลาด
 

Windows 11 หาเครื่องพิมพ์ไม่เจอ

Windows 11 มีปัญหาที่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับเครื่องพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานในทางธุรกิจ หนึ่งในปัญหาที่ได้รับแจ้งคือ การติดตั้งเครื่องพิมพ์ล้มเหลวเมื่อพยายามเชื่อมต่อกับเครื่องพิมพ์บนเครือข่ายที่ใช้ร่วมกัน โดยปกติไดรเวอร์สำหรับเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จะถูกดาวน์โหลดและติดตั้งโดยอัตโนมัติ แต่มีบั๊กซึ่งทำให้ไม่สามารถดาวน์โหลดไดรเวอร์ได้อย่างถูกต้อง
 
ในการใช้งานทางธุรกิจ แผนกไอทีน่าจะสามารถติดตั้งไดรเวอร์ที่เกี่ยวข้องลงเครื่องให้คุณได้ แต่สำหรับคนที่เหลือ คุณต้องไปที่หน้าการสนับสนุนบนเว็บไซต์ของผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ และค้นหาตัวเลือกเพื่อดาวน์โหลดไดรเวอร์สำหรับอุปกรณ์ของคุณ
 

Snipping Tool ไม่ทำงาน

Windows 10 มีแอปพลิเคชันแคปภาพหน้าจอที่ค่อนข้างดี ซึ่งส่งต่อมายัง Windows 11 ด้วย คุณสามารถจับภาพหน้าจอด้วยตนเองโดยใช้ marquee tool และบันทึกลงในโฟลเดอร์เฉพาะ
 
แต่โชคร้ายที่แอปพลิเคชันนี้ใช้งานไม่ได้บน Windows 11 และรวมถึงเครื่องมืออื่นๆ มากมาย เนื่องจากใบรับรองหมดอายุ และการพยายามใช้เครื่องมือจะส่งผลให้มีข้อความ error โผล่ขึ้นมา
 
Microsoft ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขปัญหาวิดเจ็ตและแอปพลิเคชันพัง แต่ Snipping Tool ยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้ ซึ่งทาง Microsoft กล่าวว่า ณ ตอนนี้ ผู้ใช้ควรกลับไปใช้วิธีเก่าโดยใช้ปุ่ม Print Screen บนแป้นพิมพ์และแคปภาพวางใน Paint หรือใช้แอปพลิเคชันที่คล้ายกัน
 
มีคำแนะนำบนเว็บออนไลน์ที่เสนอวิธีแก้ไขอยู่ แต่แนวทางส่วนใหญ่ที่เราทดสอบดูนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งรวมถึงวิธีการค้นหาเวอร์ชันของ Snipping Tool ในไฟล์ Windows เก่าของคุณ และคัดลอกมันไปใส่การติดตั้ง Windows ใหม่ ตลอดจนวิธีบังคับถอนการติดตั้งแอปโดยใช้ PowerShell และติดตั้งใหม่จาก Microsoft Store ซึ่งตอนนี้เราทราบแล้วว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับใบรับรอง จึงไม่น่าแปลกใจที่วิธีการเหล่านี้ใช้ไม่ได้ สำหรับตอนนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ รอแพตช์อย่างเป็นทางการ
 

Windows 11 มีพื้นที่บนดิสก์ไม่พอ

หากคุณทำการอัปเกรดจาก Windows 10 อาจพบว่า ตอนนี้คุณมีพื้นที่ว่างในดิสก์น้อยกว่าที่คุณมีก่อนทำการอัปเกรด นี่เป็นเพราะ Windows จะเก็บไฟล์ Windows 10 เก่าไว้ชั่วขณะ ในกรณีที่คุณต้องการเปลี่ยนกลับเป็นระบบปฏิบัติการรุ่นเก่า
 
ข่าวดีก็คือ ตอนนี้ Microsoft ให้เวลาคุณ 10 วัน หากคิดเปลี่ยนใจกลับไปใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นเก่า หลังจากนั้น ไฟล์ Windows 10 เก่าจะถูกลบออกจากพีซี Windows 11 ของคุณโดยอัตโนมัติ ทำให้พื้นที่ว่างบนดิสก์เพิ่มขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม หากการอัปเกรดทำให้คุณแทบไม่เหลือที่ว่างบนดิสก์ และคุณต้องการใช้ Windows 11 ต่อไป คุณสามารถนำไฟล์ Windows 10 เก่าออกได้ด้วยตนเอง ให้พิมพ์ "disk" ในเมนูค้นหาของ Windows 11 แล้วจะเจอเครื่องมือ Disk Clean-Up ให้ใช้กับดิสก์หลักของคุณ (ปกติก็คือ C:) และสแกนรายการไฟล์ที่จะลบสำหรับ " Previous Windows installation(s)" หากมีไฟล์เก่าอยู่ คุณน่าจะได้พื้นที่คืนสักสองสามกิกะไบต์
 
หากคุณยังต้องการพื้นที่ว่างในดิสก์เพิ่ม ให้เปิดการตั้งค่า Windows เลือก Apps จากนั้นเลือก Apps & Features และจัดเรียงรายการแอปที่ถูกติดตั้งตามขนาดของแอปพลิเคชัน จะได้เห็นว่าโปรแกรมใดใช้พื้นที่ดิสก์มากที่สุด แล้วลบสิ่งที่ไม่ต้องการอีกต่อไป
 
วิธีอื่นๆ ที่ช่วยล้างพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วคือ การล้างโฟลเดอร์ โดยลบข้อมูลในโฟลเดอร์ " Downloads" และ "Recycle Bin"


ช่องค้นหาของ Windows 11 หาไฟล์ไม่เจอ

 

ช่องค้นหาใหม่ของ Windows 11 สามารถใช้งานได้โดยการคลิกที่แว่นขยายหรือปุ่ม Windows + S แลใช้ค้นหาได้เกือบทุกอย่างในคอมพิวเตอร์ของคุณ ตั้งแต่แอปพลิเคชัน ไฟล์ และรูปภาพ
 
แต่ถ้าหากคุณพบว่า มันหาไฟล์คุณไม่เจอ ทั้งๆ ที่คุณรู้ว่าอยู่ในคอมพิวเตอร์ของคุณ คุณสามารถบังคับให้ Windows 11 สแกนทั้งพีซีซ้ำได้ ซึ่งก็น่าจะแก้ปัญหาได้
 
สิ่งแรกที่คุณควรรู้ก็คือ Windows 11 ใช้เวลาพอประมาณในการทำดัชนีการค้นหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีฮาร์ดดิสก์ที่เต็มไปด้วยไฟล์ หากคุณเพิ่งอัปเกรด Windows 11 เสร็จ ให้รออีกสักสองสามชั่วโมงเพื่อให้ทำดัชนีในการรันเบื้องหลังเสร็จสิ้น
 
หากคุณใช้ Windows 11 มาสองสามวันแล้ว แต่ยังไม่พบไฟล์ของคุณ ให้เปิดช่องค้นหาของ Windows แล้วพิมพ์ 'index' แล้วคลิกที่ Indexing Options จากนั้น ให้เลือก Advanced จากหน้าต่างที่ปรากฏขึ้น
 
จากนั้น ให้คลิกปุ่ม Rebuild เพื่อสร้างดัชนีการค้นหาใหม่ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที คุณจะเห็นหน้าจอที่แสดงความคืบหน้าของการสร้างดัชนีการค้นหาใหม่ คุณทำงานต่อไปได้ในขณะที่มันทำงานอยู่ในฉากหลัง


ข้อความแจ้งเตือนชวนเสียสมาธิ

ด้วยความที่คนจำนวนมากยังคงทำงานจากที่บ้าน
สิ่งรบกวนใดๆ จึงเป็นอันตรายต่อการทำงานอยู่แล้ว คุณคงไม่ต้องการให้ Windows 11 แจ้งแชท Slack ให้คุณทราบ หรือแจ้งว่ามีอีเมลเกี่ยวกับการจัดส่งของ Amazon ที่กำลังจะมาถึง ตอนที่กำลังเขียนรายงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้หรอกนะ
 
Microsoft ได้เพิ่มรูปแบบการแจ้งเตือนใน Windows 11 เพื่อช่วยให้คนเสียสมาธิน้อยลงกว่าเดิม ด้วยโหมดใหม่ที่เรียกว่า Focus Assist ซึ่งหากคุณคลิกที่ไอคอนตรงมุมขวาล่างของหน้าจอที่มีสัญลักษณ์แสดงแบตเตอรี่/Wi-Fi/ระดับเสียง จะมีข้อความป็อปอัพปรากฏขึ้นมาเพื่อให้คุณเปิดใช้ Focus Assist โดยเลือกได้สองโหมด Priority Only หรือ Alarms Only
 
Alarms Only นั้นสมชื่อ ก็คือเป็นโหมดที่อนุญาตเฉพาะการเตือนที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเท่านั้นให้รบกวนการทำงานของคุณได้ ส่วนโหมด Priority Only แตกต่างจากนั้นเล็กน้อย โดยกรองให้ข้อความจากบางแอปพลิเคชัน หรือบางบุคคลผ่านไปได้ แม้ว่าตัวกรองบุคคลจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม
 
ดังนั้น ถ้าเจ้านายคุณชอบโทรหาด้วย Microsoft Teams อยู่บ่อยๆ ให้เพิ่มแอปพลิเคชันนั้นลงในรายการ Focus Assist Priority ซะเลย โดยคลิกที่ไอคอนการแจ้งเตือนที่มุมล่างขวา (ไอคอนจะเปลี่ยนเป็นไอคอนรูปพระจันทร์หากเปิด Focus Assist) และเลือก Focus Assist

ที่มา: 
https://bit.ly/3VdujE0

ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์