Please wait...
IT UPDATE ENTERPRISE
วิธีเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็กของคุณ Part 2
วิธีเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็กของคุณ - Part 2


เซิร์ฟเวอร์รูปแบบต่าง ๆ

ในตอนที่สองนี้ เราจะมาดูกันว่า เซิร์ฟเวอร์นั้นมีแบบไหนกันบ้าง ในท้องตลาด ซึ่ง เซิฟเวอร์ในแบบที่ต่างกันก็จะเหมาะกับรูปแบบธุรกิจ หรือขนาดธุรกิจ ที่แตกต่างกัน เราจะมาเริ่มจากเซิฟเวอร์สำหรับธุรกิจที่มีความต้องการด้าน ITแบบเบื้องต้นก่อน แล้วจึงไล่ไปถึง ธุรกิจ ที่มีความต้องการ IT ขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
 

1.อุปกรณ์เก็บข้อมูลผ่านเครือข่าย (Network Attached Storage)


NAS เป็นโครงสร้างพื้นฐานเซิร์ฟเวอร์ที่เรียบง่ายและราคาไม่แพง ส่วนนี้คล้ายกับ Windows Home Server แต่ NAS สามารถส่งมอบสิ่งต่าง ๆ ให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความต้องการของเซิร์ฟเวอร์แบบพอประมาณ การจัดการ NAS ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เสียบฮาร์ดไดรฟ์ USB เข้ากับเราเตอร์ที่มีรองรับ USB แต่ธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่จะต้องการบางอย่างที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั้น ฉะนั้น NAS ระดับไฮเอนด์สามารถเป็นเซิร์ฟเวอร์คู่แข่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งรวมถึงรองรับการทำจองลองเสมือนจริงด้วย
 
อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ซึ่งโดยปกติจะเรียกว่า NAS box จะทำหน้าที่เป็นส่วนติดต่อระหว่างการจัดเก็บและไคลเอ็นต์บนเครือข่าย กล่อง NAS box ไม่จำเป็นต้องใช้เมาส์ คีย์บอร์ด หรือจอภาพ และจะควบคุมโดยไคลเอ็นต์ระยะไกลผ่านเครือข่าย
 
โดยทั่วไปแล้วระบบปฏิบัติการแบบฝังตัวส่วนที่สำคัญที่สุด จะใช้ Linux ทำงานบน NAS โดยที่อุปกรณ์รุ่นล่าสุดจะมีการเชื่อมต่อปลายทาง ที่ทำให้การติดตั้งและการจัดการผ่านเครือข่ายทำได้ง่ายขึ้น (ทำนองเดียวกัน คล้ายกับ Windows Home Server)
 

2.เซิร์ฟเวอร์แบบ Tower


เซิร์ฟเวอร์แบบ tower (และที่คล้ายกัน เช่น small tower หรือ micro tower) เป็นขั้นต่อมา ของ NAS
 
คุณอาจจะเข้าใจผิดได้ง่ายว่า เซิร์ฟเวอร์แบบ Tower เป็นเดสก์ท็อปพีซี ในความเป็นจริงแล้วคุณก็สามารถทำให้เดสก์ท็อปพีซีเป็นเซิร์ฟเวอร์ได้ เซิร์ฟเวอร์แบบ Tower มีราคาสูงกว่า NAS แต่มีราคาต่ำกว่าระบบ rack-mount โดยสามารถทำงานบนชั้นวางหรือบนโต๊ะ แต่สามารถดัดแปลงให้เข้ากับ rack ได้ด้วย โดยทั่วไปเซิร์ฟเวอร์แบบ tower จะเงียบเนื่องจากไม่ต้องการพัดลมระบายความร้อนจำนวนมาก สำหรับ เซิร์ฟเวอร์แบบ tower ระดับไฮเอนด์ ที่มี CPU ความเร็วสูง หน่วยความจำ RAM และฮาร์ดดิสก์จำนวนมากสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ทำการจำลองเสมือนจริง (โดยมีเงื่อนไขว่า CPU และระบบปฏิบัติการสนับสนุนต้องสนับสนุน)
 
แต่ข้อเสียของเซิร์ฟเวอร์แบบ Tower ก็คือ คุณจะต้องมีคีย์บอร์ด จอภาพ และเมาส์ เพื่อจัดการเซิร์ฟเวอร์แบบ tower หรือควรเลือกลงทุนใน KVM (keyboard, video, mouse) ที่ช่วยให้สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้หลาย ๆ เครื่อง (คุณสามารถควบคุมเซิร์ฟเวอร์ micro tower ที่ใช้ Windows Server โดยเชื่อมต่อ Remote Desktop Connection ผ่านทางเครื่องลูกข่ายได้) และที่สำคัญเซิร์ฟเวอร์แบบ Tower มีข้อจำกัดมากหากคุณต้องเพิ่มขีดความสามารถ เมื่อคุณคาดหวังว่าข้อกำหนดด้านไอทีของคุณจะขยายตัวอย่างรวดเร็วขึ้น เซิร์ฟเวอร์แบบ rack หรือแบบ blade เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้ เซิร์ฟเวอร์แบบ Tower
 
 
3.เซิร์ฟเวอร์แบบ rack



หากคุณคาดหวังว่าจะต้องใช้เซิร์ฟเวอร์หลายเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นแบบทันทีหรือในช่วงสั้น ๆ คุณควรพิจารณาการย้ายไปใช้งานแบบ rack-mount เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้มีความกว้างมาตรฐาน (พอดีกับชั้นวางขนาด 19 นิ้ว) และมีความสูงมาตรฐาน (1.75 นิ้วหรือ 1U ชั้นมาตรฐานสูง 42U) rack ช่วยให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก และโดยทั่วไปจะมีระบบจัดการสายเคเบิลที่ดีเพื่อให้การติดตั้งของคุณเป็นระเบียบ
 
เซิร์ฟเวอร์แบบ rack ส่วนใหญ่สามารถขยายได้โดยมีซ็อกเก็ตสำหรับซีพียูหลายตัว หน่วยความจำจำนวนมากและมีที่จัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก ระบบเซิร์ฟเวอร์แบบ rack ยืดหยุ่นสูง เมื่อวางเซิร์ฟเวอร์แบบ rack ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่เพิ่มอีกจนกว่าชั้นจะเต็ม ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าเซิร์ฟเวอร์แบบ tower แต่ราคาถูกกว่าแบบ blade
เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์แบบ rack ทำงานในบริเวณใกล้เคียงกับอีกเครื่องหนึ่งจึงต้องระบายความร้อนมากกว่าเซิร์ฟเวอร์แบบ tower ทำให้พัดลมเสียงดังมากและจำเป็นต้องมีระบบควบคุมอุณหภูมิเพื่อให้ตู้เย็นเต็มรูปแบบ ด้วยเหตุผลดังกล่าวธุรกิจส่วนใหญ่จึงแยกเซิร์ฟเวอร์ rack ไว้ในอีกห้องเฉพาะ นอกจากนั้น เซิร์ฟเวอร์แบบ rack ยังยุ่งยากในการบำรุงรักษาเพราะต้องดึงออกมาจากชั้นวาง และเช่นเดียวกันกับเซิร์ฟเวอร์แบบ tower ที่ต้องมีการจัดการ KVM เพื่อการติดตั้งและการจัดการ
 
เซิร์ฟเวอร์แบบ rack ระดับเริ่มต้นรุ่น ThinkServer RD230 ของ Lenovo ประกอบด้วย CPU Intel Xeon E5503 แบบ dual-core ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วจำนวน 4 ตัว พร้อมรองรับ RAID 0, 1, 5 และ 10 (ไม่มีไดรฟ์) และหน่วยความจำ 2GB (มีช่องเสียบเพิ่มอีก 7 ช่อง) ในตู้ขนาด 1U ราคาขายประมาณ $1,000
 
ราคาจะสูงกว่านี้เมื่อคุณเพิ่มซีพียู (หรือ CPU core) รวมทั้งหน่วยความจำ ช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ ความสามารถในการจำลองเสมือนจริง และคุณลักษณะอื่น ๆ เมื่อคุณเปรียบเทียบราคาเซิร์ฟเวอร์แบบ rack อย่าลืมรวมค่าใช้จ่ายของระบบปฏิบัติการและโปรแกรม hypervisor อื่น ๆ (สำหรับการจำลองเสมือนจริง) ที่คุณอาจต้องใช้เนื่องจากองค์ประกอบเหล่านี้จะไม่รวมอยู่ในราคาฐานเสมอไป คุณควรพิจารณาราคาของ rack และราวยึดที่คุณจะต้องติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ไว้ด้วย
 
4.เซิร์ฟเวอร์แบบ blade


ความแตกต่างหลักระหว่างเซิร์ฟเวอร์แบบ rack และเซิร์ฟเวอร์ blade คือเซิร์ฟเวอร์  แบบ blade หลายตัวทำงานภายใน chassis การเพิ่มเซิร์ฟเวอร์ใหม่จึงทำได้ง่ายเพียงแค่เลื่อน blade เครื่องใหม่เข้าไปใน chassis คุณก็สามารถติดตั้งส่วนประกอบเครือข่ายอื่น ๆ เช่น สวิตช์อีเธอร์เน็ต ไฟร์วอลล์ และโหลดบาลานซ์ รวมทั้งเซิร์ฟเวอร์ในตู้เดียวกัน และสามารถติดตั้งชิ้นส่วนทั้งหมดภายในตู้ได้ เนื่องจาก chassis จัดเตรียมทั้ง พลังงานความเย็น อินพุตเอาต์พุต และการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทั้งหมดภายในเครื่อง คุณจึงไม่จำเป็นต้องจัดการกับสายเคเบิลใหม่เมื่อเพิ่มบางอย่าง หรือพูดได้อีกแบบว่า เซิร์ฟเวอร์แบบ blade มีความเป็นระเบียบและบรรจุส่วนประกอบไว้ในพื้นที่ที่กำหนดได้ดีกว่า เซิร์ฟเวอร์ประเภทอื่น ๆ แต่ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจะสูงกว่าเนื่องจากความจำเป็นในการซื้อตู้
ข้อเสียของเซิร์ฟเวอร์ blade นั้นคือ โดยปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์แบบนี้จะมีโอกาสในการขยายตัวน้อยลงเนื่องจากไม่สามารถใช้สล็อต PCIe และสล็อตไดรฟ์เหมือนกับเซิร์ฟเวอร์แบบ tower หรือแบบ rack ได้ ในทางตรงกันข้ามธุรกิจที่ปรับใช้เซิร์ฟเวอริแบบ blade มักมีที่จัดเก็บข้อมูลร่วมกัน เช่นเครือข่ายพื้นที่เก็บข้อมูลเพื่อรองรับเซิร์ฟเวอร์ blade (และ chassis บางประเภทสามารถรองรับพื้นที่จัดเก็บข้อมูล SAN มาพร้อมกับเซิร์ฟเวอร์) อย่างที่คุณคงคาดเดาได้ว่าการจัดเก็บส่วนประกอบทั้งหมดของเซิร์ฟเวอร์ไว้ใกล้ ๆ กันจะทำให้เกิดความร้อนขึ้นสูงมาก ระบบ blade ก็เหมือนกันกับเซิร์ฟเวอร์แบบ rack ที่ต้องใช้ระบบทำความเย็นจำนวนมาก (โดยปกติพัดลมจะติดตั้งภายในโครงเครื่อง chassis) ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่ม ขึ้นนั่นเอง
 
สิ่งสำคัญที่เราควรคำนึงก่อนซื้อเซิฟเวอร์
ท้ายที่สุดแล้ว หากคุณต้องการหาเซิร์ฟเวอร์เพื่อการแชร์ไฟล์ การสำรองข้อมูลเครื่องลูกข่าย และความสามารถในการเข้าถึงระยะไกล สำหรับบริษัทที่มีพนักงานจำนวนที่ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนน้อย (ไม่เกิน 10 เครื่อง) เครื่องเซิร์ฟเวอร์ Windows Home Server หรือ NAS จะตอบสนองความต้องการของคุณด้วยการลงทุนที่สมเหตุสมผล
 
สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีขนาดใหญ่กว่า ที่อาจจะต้องการ เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหนึ่งถึงสองเครื่องเหมาะสมที่จะใช้เซิร์ฟเวอร์แบบ tower โดยไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากนักและไม่ต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อนเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถปรับขยายได้ง่ายและเครื่องเซิร์ฟเวอร์ระดับไฮเอนด์สามารถรองรับระบบการจำลองเสมือนจริงได้อีกด้วย
 
เมื่อความต้องการด้านไอทีของคุณเติบโตเกินกว่าที่เซิร์ฟเวอร์เพียงสองเครื่องจะทำได้ ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องพิจารณาย้ายไปยังเซิร์ฟเวอร์แบบ rack เครื่องเซิร์ฟเวอร์นับสิบเครื่องสามารถใส่ลงในตู้เดียว เพราะสถาปัตยกรรมเซิร์ฟเวอร์นี้สามารถปรับขยายได้อีกมาก และสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบ Blade นั้นมีพื้นที่เพิ่มขึ้นและปรับขนาดได้มากขึ้นด้วย ถ้าคุณต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมกว่าแบบ rack คุณจะมีความสุขกับระบบนิเวศของเซิร์ฟเวอร์แบบ blade อย่างแน่นอน

ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์
Server
Hyper converged
Storage
UPS
Networking
PC
All in one
Notebook
Monitor
Printer
Hosting
Google cloud
AWS
Microsoft Azure
SSL