ความกังวลต่าง ๆ เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และหุ่นยนต์ (robot) การกลัวว่าสิ่งเหล่านั้นจะแทนที่มนุษย์ จากโลกแห่งความเป็นจริงกังวลว่าจะมาทำงานแทนหรือแย่งงานมนุษย์ทำ คุกคามมนุษย์ขึ้นทุกวัน แต่เนื่องจากโลกยังคงมีปัญหากับข้อมูลขนาดใหญ่ ไม่มีเหตุผลเลยที่นักออกแบบหรือวิศวกรจะต้องตื่นตระหนกนัก แต่มีหลาย ๆ เหตุผลที่ควรจะตื่นเต้นมากกว่าปัจจุบันแนวโน้มของเทคโนโลยี ประกอบด้วย ความเป็นจริงเสมือน (virtual reality, VR) ความเป็นจริงเสริม (augmented reality, AR) และความจริงผสม (mixed reality, MR) มีศักยภาพสูงมากพอที่จะสร้างการเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้
VR (เคลื่อนย้ายคุณเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนอย่างแท้จริง) ขณะที่ AR (ผสานโลกเสมือนเข้ากับสภาวะแวดล้อมในโลกจริง) และ MR (ผสมผสานระหว่าง VR กับ AR เข้าด้วยกัน) กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เรากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อุปกรณ์ปฏิวัติต่าง ๆ ในทุกวันนี้นั้นก็คล้ายกันกับโทรศัพท์มือถือรุ่นแรก ๆ ที่มีขนาดใหญ่มาพร้อมกับสายระโยงระยางในกระเป๋าหิ้วอันเทอะทะ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ซึ่งนำโดย ความก้าวหน้าด้าน AI และเทคโนโลยีด้านอื่น ๆ จะช่วยกำหนดทิศทางของโลกอุตสาหกรรม พลังในการประมวลผล การสร้างกราฟิก การเชื่อมต่อประสานแบบใหม่ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของมนุษย์ รวมทั้งเพิ่มกำลังผลิต และช่วยให้เราสามารถผสมผสานและทำความเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ รอบตัวเราได้ดียิ่งขึ้น ลองจินตนาการถึงวงการการก่อสร้างหรือทำความเข้าใจถึงการออกแบบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแปลนการก่อสร้างหรือต้นแบบทางกายภาพไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว การผสมผสานกันของ AR/VR, การเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning), AI, หุ่นยนต์, ประดิษฐกรรมขั้นสูง และการออกแบบเชิงสร้างสรรค์จะช่วยให้มนุษย์และอุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อข้อมูลดิจิทัลกับสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นได้ เหล่านักออกแบบและวิศวกรจะมีความสามารถตีความสิ่งที่ยุ่งยาก สิ่งที่สืบเนื่องกัน และสัญญาณที่ซับซ้อน รวมทั้งสามารถทำงานกลั่นกรองข้อมูลในบริบทแบบสามมิติได้
ลองจินตนาการถึงสถานที่ทำงานและหน้างาน
นักออกแบบ วิศวกร ผู้ผลิต และนักสร้างสรรค์ ท่วมไปด้วยข้อมูลดิจิทัล ที่มีความซับซ้อนและสร้างกำไรน้อยกว่ามาก แต่ลักษณะของการทำงานจะเปลี่ยนไปในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ทุกวันนี้ วงการก่อสร้างส่วนใหญ่ยังทำงานเต็มไปด้วยกระดาษ และสถาปนิกหลายคนยังคงทำภาพเสมือนจริงสองมิติ (2D rendering) อยู่เลย แต่เมื่อแนวคิดการสร้างภาพจริง 3 มิติ เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเสริมหน้างานหรือความเป็นจริงเสมือนในระหว่างทบทวนการออกแบบนั้น ก่อให้เกิดความเข้าใจข้อมูลเหล่านั้นอย่างลึกซึ้งขึ้น
ครั้นเมื่อเคลื่อนย้ายเข้าไปอยู่ใน VR หรือ AR อย่างสมบูรณ์แบบ คนที่อยู่ในสาขาวิชาที่แตกต่างกันและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ สามารถจำลองการออกแบบที่จะสร้างขึ้นและพร้อมใช้งาน หรือพวกเขาสามารถขยายการออกแบบภายในบริบทของงานเพิ่มเติมได้ เหล่านี้จะช่วยทั้งให้สามารถเข้าใจงานและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นำไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่า ผลิตภาพสูง และลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ ลงได้ หลายปีก่อน เมื่อสถาปนิกพิจารณาภาพเสมือนสองมิติ แล้วร้องว่า “ยอดเยี่ยมมากเลย!” แต่หากพวกเขามองดูแบบจำลอง BIM ใน VR เขาอาจจะร้องว่า “โอ้ นั่นเพดานต่ำเกินไป” หรือ “มันไม่ได้ผลหรอก”
AR ถือว่ามีศักยภาพสูงสำหรับใช้ หน้างานการก่อสร้าง การใช้อุปกรณ์ AR อย่างเช่น หมวกนิรภัยหรือแว่นตา (หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต) ผู้รับเหมาและวิศวกรสามารถเห็นแบบจำลอง BIM ที่ซ้อนทับไปยังหน้างานจริง สามารถสำรวจไปรอบ ๆ และระบุปัญหาเหมือนกับอยู่ในหน้างานจริง และยังสามารถให้ความเห็นเพิ่มเติม และบอกบริเวณได้อย่างชัดเจนไปยังแบบจำลองดิจิทัลโดยอัตโนมัติได้ การมองเห็นข้อมูลใน AR และ VR ช่วยให้พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อนได้ ยกตัวอย่างเช่น หากวิศวกรต้องการวิเคราะห์การรับน้ำหนักของโครงสร้าง สมัยก่อนจะต้องใช้งานสเปรดชีตอย่างมหาศาล ทุกวันนี้วิศวกรสามารถซ้อนทับแผนที่ไปยังการออกแบบเพื่อดูส่วนต่าง ๆ ของโครงสร้างที่คาดว่าจะพังลงแล้วจึงให้ความเห็นเพิ่มเติม และข้อแนะนำต่าง ๆ จะถูกนำเสนอผนวกกลับเข้าไปสู่กระบวนการอีกครั้ง
การสร้างต้นแบบและการฝึกอบรมที่ดีขึ้น
เทคโนโลยี VR, AR และ MR สามารถลดทั้งต้นทุนหนักและต้นทุนเบา มันเป็นเรื่องของการผลิตที่น้อยลง ยกตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตรถยนต์จะทำต้นแบบดินเหนียว (clay prototype) แต่เมื่อวิศวกรสามารถสร้างต้นแบบเสมือนจริงและตัดสินใจโดยอาศัยแบบจำลอง VR แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? แทนที่วิศวกรจะตรวจสอบต้นแบบทางกายภาพและปรับขยายข้อมูลกลับเข้าไปในการออกแบบ การตัดสินใจเหล่านั้นสามารถคำนวณได้และชัดเจนในตัวแบบจำลองเอง การแทนที่ต้นแบบทางกายภาพด้วย VR และผสมผสานเข้ากับขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำงาน ส่งผลให้ผู้ผลิตประหยัดต้นทุนทั้งวัสดุ เวลา และเงินทุน
VR ยังช่วยปรับปรุงโครงการด้านสถาปัตยกรรม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสถาปนิกออกแบบช่องตรวจผู้ป่วย (gantry) ในโรงพยาบาลและจำเป็นต้องประเมินขั้นตอนปฏิบัติงานจากแผนก OR และ ER ด้วย เพื่อคำนวณข้อผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อกำไร ก่อนที่จะสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา เมื่ออาศัย VR จะช่วยให้สถาปนิกสามารถเข้าใจผลลัพธ์จากการออกแบบได้ดียิ่งขึ้น
AR สามารถใช้ในการอบรมและฝึกอบรมพนักงานใหม่ในโรงงานหรือคนงานก่อสร้าง ความรู้ของพนักงานอาวุโสที่มีประสบการณ์ในการทำงานหน้างานหลายสิบปีและความรู้สะสมขององค์กรของพนักงานใกล้เกษียณ ข้อมูลของพวกเขาจึงมีคุณค่าต่อองค์กร หากเก็บเกี่ยวความรู้เหล่านั้นเป็นแนวทางให้ความรู้แก่คนรุ่นต่อไป หมายถึง แรงงานจะได้รับการฝึกอบรมขึ้นมาอย่างดีเป็นการเรียนรู้เหมือนได้ปฏิบัติงานจริง ๆ
เทคโนโลยีเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
คนส่วนใหญ่มีประสบการณ์กับ AR, VR และ MR เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหรือเป็นโซลูชันการสร้างภาพในตอนท้ายของกระบวนการเท่านั้นนั่นคือ เป็นเพียงแค่ผู้ชม ดังนั้นเทคโนโลยีจะรวมเข้ากับกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการจำลองการอบรมได้อย่างไร? ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรวมศูนย์และการเชื่อมต่อข้อมูลในสภาพแวดล้อมเหล่านั้น
เมื่อคอมพิวเตอร์เมนเฟรมหลีกทางให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แนวทางการทำงานของผู้คนได้เปลี่ยนไปตลอดกาล จากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเปลี่ยนเป็นคอมพิวเตอร์แบบเคลื่อนที่ และย้ายข้อมูลไปยังคลาวด์ ด้วยคลื่นลูกใหม่แห่งการประมวลผล ทำให้อุปกรณ์หลายอย่างหายไปและโลก (หรือร่างกายของมนุษย์) จะกลายเป็นส่วนต่อประสานและแสดงผลแทน เป็นอินพุตนำเข้าแบบใหม่ วิธีการใหม่ และเป็นแนวทางใหม่ในการนำเสนอ แสดงผล จำลอง และวิธีการใหม่จะทำให้ข้อมูลความถี่ต่ำ (low-frequency data) และข้อมูลความถี่สูง (high-frequency) จะไหลผ่านระบบในอนาคตอันใกล้
เมื่ออุปกรณ์หลายอย่างหายไป จะมีการเปลี่ยนแปลงจากแท็บเล็ต AR หรือ VR เป็นอุปกรณ์สวมใส่ที่มีขนาดเล็กกว่า ปัจจัยด้านรูปแบบจะเล็กลง อาจจะประมาณภายใน 5-10 ปีข้างหน้านี้ ก่อนที่จะมีโฮโลแกรมใช้งานอย่างแท้จริง แต่คาดว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะเห็นนวัตกรรมใหม่ที่น่าอัศจรรย์ใช้ในองค์กรก่อน
เมื่อเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นแล้ว นักออกแบบและวิศวกรจะสามารถมองผ่านเลนส์เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาสนใจได้จาก VR, AR และ MR รวมทั้งมีการโต้ตอบกันขึ้น ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละคนจะสามารถจัดลำดับความสำคัญในประเด็นที่เกี่ยวข้อง (การออกแบบ) และพวกเขาจะมีส่วนร่วมในประเด็นเหล่านั้นได้มากขึ้น เทคโนโลยี VR, AR, และ MR จะช่วยให้เป็นนักออกแบบ วิศวกร ผู้ผลิต และนักสร้างสรรค์ ที่ทรงพลังมาก สามารถมองเห็นสิ่งเร้นลับหรือไม่เคยเห็นมาก่อน ทำนองเดียวกันทำให้พวกเขารับงานใหม่ ๆ ที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน และคาดการณ์ผลลัพธ์ออกมาอย่างแม่นยำ