การบริหารจัดการ Hybrid Cloud จำเป็นต้องใช้เครื่องมือและทักษะที่ทันสมัย
การบริหารจัดการ Hybrid Cloud จำเป็นต้องใช้เครื่องมือและทักษะที่ทันสมัย
ระบบไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud) สามารถทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้อย่างมากมาย แต่ในหลายๆ องค์กรกลับพบว่าระบบของพวกเขามีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และยังยากที่จะจัดการกับมันได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เพื่อเป็นการรับมือกับปัญหาดังกล่าว ผู้ใช้งานเองก็มักจะหันไปใช้ซอฟต์แวร์การจัดการ (Management Software) บางประเภท อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะเห็นได้ชัดในไม่ช้านี้ก็คือ เครื่องมือสำหรับบริหารจัดการ (Management Tools) ซึ่งระบบคลาวด์แบบไฮบริดอาจจะมีความซับซ้อนและจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงความสับสนมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับเรื่องนี้
โดยทั่วไปแล้วไฮบริดคลาวด์จะเป็นการผสมผสานระหว่างระบบประมวลผล (Computing), ระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage) และบริการอื่นๆ ซึ่งสภาพแวดล้อมเหล่านั้นเกิดขึ้นจากการรวมกันของทรัพยากร Infrastructure แบบ On-premises, การให้บริการคลาวด์แบบส่วนตัว (Private Cloud) และข้อเสนอของระบบคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) อย่างน้อยหนึ่งรายการหรือมากกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Amazon Web Services (AWS) หรือ Microsoft Azure รวมถึงการสื่อสารระหว่างแพลตฟอร์มต่างๆ อย่าง Orchestration
องค์กรใดก็ตามที่กำลังจะมีการพิจารณาเพื่อปรับใช้ระบบคลาวด์แบบไฮบริด พวกเขาควรเริ่มสร้าง Framework การเปลี่ยนแปลงในระยะเริ่มต้นให้เร็วที่สุด "การตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะต้องคิดให้รอบคอบก็คือ ข้อมูลจำพวกใดและแอปพลิเคชั่นใดควรอยู่ในระบบแบบ On-Premise เนื่องจากความอ่อนไหวของข้อมูล และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับระบบคลาว์ด" Umesh Padval หุ้นส่วนของบริษัทร่วมทุน Thomvest Ventures ได้กล่าวไว้
นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ อีกมากมายที่จำเป็นต้องทำการจัดระเบียบ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่มีลำดับความสำคัญรองลงมา แต่ข้อมูล (Data) และแอปพลิเคชั่น (Application) ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ ที่อาจจะต้องคิดเผื่อด้วยว่าพวกมันจะถูกเก็บไว้ในระบบแบบ On-Premise ตลอดไป หรือจะย้ายไปยังระบบคลาว์ด? ตราบใดที่แอปพลิเคชั่นและข้อมูลต่างๆ ยังคงอยู่แบบกระจัดกระจาย ความปลอดภัยจึงเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ต้องคำนึงถึง ส่วนเรื่องปัจจัยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานนั้นจำเป็นเรื่องที่จะได้รับการแก้ไขตั้งแต่ระยะเริ่มต้น "แอปพลิเคชั่นที่ช่วยจัดการอีเมลของคุณอาจทำงานได้ดีใน Data Center ของคุณ แต่มันอาจจะมีประสิทธิภาพการทำงานที่แตกต่างออกไปในระบบคลาวด์ ก็เป็นได้" Padval กล่าว
เครื่องมือต่างๆ สำหรับระบบคลาวด์แบบไฮบริด (Hybrid Cloud) ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์
Hybrid Cloud ที่ซับซ้อนต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงวิธีการจัดการกับชุดปฏิบัติการต่างๆ รวมไปถึงประสิทธิภาพของเครือข่าย (Network Performance), การบริหารจัดการภาระงาน (Workload), ระบบความปลอดภัย (Security) และการควบคุมต้นทุน นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะงานด้านการจัดการจำนวนมากที่จำเป็นต่อการทำงานในระบบคลาวด์แบบไฮบริดที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ ซึ่งผู้ใช้เองก็สามารถที่จะเลือกจากเครื่องมือการจัดการที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
"มีตัวเลือกมากมายจากผู้ขายจนเรางงไปหมด และมันก็อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบพวกมันทั้งหมดอย่างละเอียด" R. Leigh Henning ผู้ดำรงตำแหน่ง Principal Network Architect ของ Data Center Operator Markley Group กล่าว "บางทีผู้ขายก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเสมอไปเพื่อที่จะทำให้พวกเขามีความแตกต่างอย่างชัดเจน รวมทั้งเวลาที่ยาวนานและความพยายามที่สูญเปล่าไปเพราะความสับสนเหล่านี้ ซึ่งเราก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายๆ บริษัทที่กำลังจมปลักอยู่กับตัวเลือกที่ไม่ชัดเจน"
ปัจจุบัน ตลาดด้านการจัดการระบบคลาวด์แบบไฮบริดมีทั้งที่ยังไม่สมบูรณ์และอยู่ระหว่างการพัฒนา, Paul Miller รองประธานกรรมการฝ่าย Hybrid Cloud ของ Hewlett Packard Enterprise ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า ผู้จัดจำหน่ายเองก็ยังคงต้องทำความเข้าใจกับประเภทของเครื่องมือการจัดการที่ลูกค้าต้องการ "สิ่งที่เสนอให้ผู้ใช้งานนั้นก็มีข้อจำกัด และอาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนที่ครอบคลุมในส่วนของ Public, On-Premises และ Edge" Miller กล่าวเสริม
บางทีปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการจัดการกับระบบคลาวด์แบบไฮบริดก็คือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งลึกๆ แล้วมันมีความซับซ้อน และบ่อยครั้งที่พบว่ามันมีความขัดแย้งในเรื่องของการบริหารจัดการด้านปฏิบัติการ (Operations Management) โดย George Burns III ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้านการดำเนินงานระบบคลาวด์ของ SPR ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านไอทีระดับมืออาชีพก็ได้ออกมาเตือนว่า "โซลูชั่นจำนวนมากมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้ (Compatibility) กับ Component ต่างๆ ที่พวกเขาสามารถจัดการได้ แต่การล็อคแพลตฟอร์มการจัดการของคุณให้ขึ้นอยู่กับผู้ขายหรืออยู่ในกลุ่มของผู้ขาย ซึ่งมันอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของระบบ (System Architecture) ในปัจจุบันหรือระบบในอนาคตของคุณ"
การขาดช่องทางการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ API (Application Programming Interface) ที่ได้มาตรฐาน ก็เป็นความท้าทายอีกข้อหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนเครื่องมือการจัดการที่ได้มาตรฐาน "การขาดเครื่องมือที่ได้มาตรฐานก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความซับซ้อนในการปฏิบัติงาน ผ่านการสร้างเครื่องมือที่ไม่สอดคล้องกันหลายรายการ เรื่องนี้จึงนำไปสู่ปัญหาที่เราเรียกกันว่า Vendor Lock-in หรือการผูกติดกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งมากเกินไปจนเกิดปัญหา ในกรณีที่ต้องการย้ายไปยังผู้ให้บริการใหม่ และในบางกรณีมันก็ยังแสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพอย่างร้ายกาจในแง่ของการใช้ทรัพยากร" Vipin Jain, CTO ของ Pensando ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม Software-Defined Services อธิบาย
ในขณะเดียวกันการใช้เครื่องมือ Open Source ที่ได้มาตรฐานก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการปัญหาความเข้ากันได้ (Compatibility) "เครื่องมือต่างๆ ของ Cloud Native Computing Foundation (CNCF) เช่น Kubernetes และ Prometheus จัดว่าเป็นตัวอย่างที่ดี" Jain กล่าว "ส่วนเครื่องมือ Open Source จาก HashiCorp อย่างเช่น Vault, Vagrant, Packer และ Terraform นั้น ช่วยให้กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างข้อมูล (Normalization) อยู่ในระดับมาตรฐานที่เหมาะกับการปรับใช้ระบบ Multi-Cloud และ Hybrid Cloud แต่ก็ยังไม่เพียงพอ" เขากล่าว ซึ่งตามหลักการแล้วผู้จำหน่ายระบบคลาวด์แบบสาธารณะชั้นนำต่างก็เห็นด้วยกับชุด API มาตรฐาน ที่แต่ละอุตสาหกรรมสามารถปฏิบัติตามได้ "การกำหนดมาตรฐานอาจเป็นเป้าหมายที่ยากจะบรรลุ แต่สิ่งสำคัญก็คือประสิทธิภาพและความพึงพอใจของลูกค้า" Jain กล่าว
นักพัฒนาที่เขียน API Configuration ตลอดจนนักพัฒนาที่ใช้ API Configuration ในรูปแบบความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันซึ่งกันละกัน (Symbiosis) นั้น ควรจะได้รับการสนับสนุนทั้งสองฝ่าย โดย Burns ได้กล่าวว่า "ผู้ค้าฮาร์ดแวร์ต้องเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงและการยกระดับประสิทธิภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา และวิธีที่จะส่งผลกระทบต่อ API ของพวกเขา" นอกจากนี้ Burns ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า "ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มการจัดการ (Management Platform) จำเป็นต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงต่อ Hardware Platform API และจำเป็นต้องมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอในการทดสอบรุ่นที่จะถูกปล่อยออกมา ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับผลลัพธ์และการทำงานอย่างเพียงพอแก่ผู้ขาย"
การจัดลำดับความสำคัญของข้อกำหนดด้านการจัดการ
แม้ว่าทุกอย่างจะทำงานอย่างถูกต้อง แต่ก็มักจะมีช่องว่างที่อยู่ระหว่างฟังก์ชันการจัดการที่ตั้งใจไว้ (Intended) และเกิดขึ้นจริง (Actual) "โลกในอุดมคตินั้น นักพัฒนาจะมีสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการทดสอบการใช้งานในแต่ละผลิตภัณฑ์ ตลอดจนช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นในด้านการอัพเกรด" โดย Burns ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "น่าเสียดายที่เราไม่สามารถคาดหวังได้เลยว่าทุกอย่างจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเราก็ไม่สามารถละทิ้งการทดสอบ [แบบ On-Site] ไปได้" ซึ่ง Burns ก็ยังให้คำแนะนำต่อไปด้วยว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการตัดสินใจเลือกแพลตฟอร์มการจัดการคลาวด์แบบไฮบริด สิ่งสำคัญก็คือ ไม่เพียงแต่จะต้องตระหนักถึงข้อจำกัดด้านเอกสารเท่านั้น แต่จะต้องรู้ด้วยว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนจนกว่าจะได้ทำการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่เป็นระบบคลาวด์แบบไฮบริดของผู้ใช้ "แม้ว่าจะยังคงมีช่องว่าง แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นความรับผิดชอบของคุณที่จะระบุและตรวจสอบช่องว่างเหล่านั้นให้ครบถ้วน ในสภาพแวดล้อมของคุณ" เขากล่าว
สถานการณ์ต่อไปที่จะทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้นก็คือ ความจริงที่ว่าแพ็คเกจของเครื่องมือการจัดการจำนวนมากนั้นถูกออกแบบมาเพื่อรองรับฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ซึ่งอาจทำให้การเลือกผลิตภัณฑ์ทำได้ยากและสับสนยิ่งขึ้น "ดังนั้น เพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ลูกค้าจะต้องพิจารณาว่าคุณลักษณะใดที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาตามกรณีการใช้งาน และยังต้องสามารถแสดงผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างรวดเร็ว เพื่อวางแผนการให้เข้ากันกับ Cloud Journey ที่เฉพาะเจาะจงของพวกเขา" Miller อธิบาย
ประสบการณ์ในโลกแห่งความจริงของการจัดการระบบคลาวด์แบบไฮบริด
แม้ว่าจะมีความท้าทายด้านการจัดการ แต่ผู้ใช้ระบบคลาวด์แบบไฮบริดส่วนใหญ่ก็จะหาวิธีที่จะทำให้สภาพแวดล้อมของพวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ, มีความน่าเชื่อถือ และปลอดภัย
Gavin Burris หัวหน้าโครงการวิจัยคอมพิวเตอร์ที่ Wharton School of University of Pennsylvania กล่าวชื่นชมความยืดหยุ่นที่ระบบคลาวด์แบบไฮบริดมอบให้ โดยเขาได้เล่าว่า "เรามีคลัสเตอร์ (Cluster) ขนาดเล็ก... ที่โดยทั่วไปแล้วจะเตรียมไว้ให้สำหรับคณะอาจารย์และนักศึกษาปริญญาเอกทุกคน" นอกจากนี้สภาพแวดล้อมแบบไฮบริดของสถาบันก็ยังสนับสนุนโครงการจัดลำดับความสำคัญร่วมกันอย่างยุติธรรม ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าผู้ใช้ทุกคนจะสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ต้องการเพื่อสนับสนุนงานของพวกเขาได้ "เมื่อพวกเขามีความจำเป็นมากขึ้น พวกเขาก็ยังสามารถที่จะขอคิวงานเฉพาะของตนเองที่ทำงานบนคลาวด์ได้ เช่นกัน" เขากล่าว
Burris ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์การจัดการของ Univa กล่าวว่า การมีเครื่องมือการจัดการที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายนั้น เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการรักษาข้อกำหนดของสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดของพวกเขาได้อย่างชัดเจน "ฉันชอบทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยสคริปต์ (Scripting) และระบบอัตโนมัติ ดังนั้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงและเขียนกฎและนโยบายที่เป็นของตัวเอง และฉันยังสร้างคลัสเตอร์ของตัวเองด้วยเครื่องมือการจัดการเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่ฉันกำลังมองหา" เขาอธิบาย
James McGibney ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายรักษาความปลอดภัยไซเบอร์และกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance) ที่ Rosendin Electric ซึ่งเป็นผู้รับเหมาไฟฟ้าที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่อาศัยระบบคลาวด์แบบไฮบริดเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานสำคัญต่างๆ ได้เล่าให้ฟังว่า "เมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมาเราเริ่มต้นจากการกู้คืนข้อมูล (Disaster Recovery) ภายในองค์กร, การประกันคุณภาพ (Quality Assurance) และสภาพแวดล้อมการผลิต (Production Environment) ไปจนถึงการทำ Cloud Migration ซึ่งเป็นการย้ายข้อมูลด้วย Cloud Computing ที่ครอบคลุมข้อมูลหลายร้อยเทราไบต์" นอกจากนี้ McGibney ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าเขาอาศัยคอนโซลการจัดการที่ให้บริการโดย AWS และ VMware โดยที่เขาให้เหตุผลว่า เครื่องมือเหล่านี้สามารถตอบสนองความต้องการในปัจจุบันของเขาได้
แต่ก็เหมือนกับผู้ดูแลระบบคลาวด์แบบไฮบริดจำนวนมากทั่วไป เพราะเขาก็ยังคงจับตาดูการพัฒนาของอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างใกล้ชิด "ขณะนี้เรากำลังตรวจสอบตัวเลือก [อื่นๆ] เพียงเพื่อดูว่ามีอะไรน่าสนใจ แต่ในระยะสั้นแล้ว เราเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าที่จะทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ เพราะเราเองก็รู้สึกพอใจกับเครื่องมือที่ AWS และ VMware จัดหามาให้แล้ว ในขณะนี้" เขากล่าว
การพัฒนา Network Skills สำหรับไฮบริดคลาวด์
การเลือกแพลตฟอร์มการจัดการระบบคลาวด์แบบไฮบริดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนอย่างการซื้อซอฟต์แวร์และเตรียมพร้อม VM เพื่อที่จะเรียกใช้มัน "ในระหว่างที่มีการดำเนินการนั้นจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้เลือกเจ้าของผลิตภัณฑ์และวิศวกรที่เหมาะสม จากนั้นก็ต้องตรวจสอบว่า มีการศึกษาเพิ่มเติมหรือหนังสือรับรอง (Credentials) อะไรบ้างที่พวกเขาจะต้องนำมาปรับใช้และบำรุงรักษาแพลตฟอร์มอย่างมีประสิทธิภาพ" ซึ่ง Burns ก็ได้ให้คำแนะนำว่า "กำหนดสถาปัตยกรรมของคุณอย่างเต็มที่ แล้วจงมั่นใจกับการได้รับความเห็นชอบจากพนักงานของคุณ ทำงานร่วมกันกับพวกเขาเพื่อระบุช่องว่างทางการศึกษาและสร้างแผนการดำเนินงานที่มั่นคง แล้วก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน"
การจัดการ Task บนระบบคลาวด์แบบไฮบริดส่วนใหญ่นั้นมุ่งเน้นไปที่การกำหนดค่า (Configuration) และการควบคุมการเข้าถึง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีทั้งความซับซ้อนและความท้าทายในการดำเนินการ โดย Mike Lamberg ที่มีตำแหน่งเป็นรองประธานและ CISO ที่ ION Group และหน่วย Openlink ซึ่งมีการบริหารความเสี่ยง, ซอฟต์แวร์การดำเนินงานและการเงิน ได้กล่าวว่า "ในขณะเดียวกัน ความมีประโยชน์ของระบบคลาวด์ก็คือความสามารถในการทำงานแบบอัตโนมัติ" แต่การปรับใช้ระบบอัตโนมัติในขั้นสูงนั้นยังจำเป็นต้องใช้ทักษะและนักพัฒนารุ่นใหม่ที่สามารถจัดการกับความต้องการของโครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ได้อย่างเชี่ยวชาญ เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมแบบดั้งเดิม "ซึ่งเราไม่สามารถสรุปได้เลยว่า ในเมื่อทีมสามารถสร้างแอปพลิเคชั่นใน Data Center แบบ Physical สำเร็จ แล้วทักษะเหล่านี้จะมีการแปลสภาพไปตามพวกเขาเมื่อย้ายไปยังคลาวด์ เพราะพวกเขาต้องใช้ทักษะใหม่ๆ เพื่อให้เกิดความสำเร็จ" Lamberg อธิบาย
การจัดการระบบคลาวด์แบบไฮบริดต้องการ Mindset ใหม่ๆ จากทีม "บุคลากรด้านเครือข่าย IT จะต้องไม่ยึดติดกับสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับเครือข่ายทางกายภาพ (Physical Networks) และการเชื่อมต่อทางกายภาพ (Physical Connectivity) อย่างเด็ดขาด และจะต้องรับรู้ว่าการเคลื่อนย้ายแพ็กเก็ต (Packet) และข้อมูล (Data) นั้น ได้รับการจัดการโดยการส่งต่อ Software Configuration ที่ไม่ใช่โดยเราเตอร์ (Router) หรือสวิตช์แบบ Physical" Lamberg กล่าว "คุณไม่สามารถทำสิ่งที่คุณเคยทำในการสร้างและสนับสนุน Data Center แบบ Physical เพื่อที่จะนำไปใช้กับระบบคลาวด์ เพราะมันไม่สามารถทำงานได้"
โดยรวมแล้ว การเปลี่ยนไปใช้ระบบคลาวด์แบบไฮบริดจะช่วยแก้ไขปัญหาได้หลายอย่าง แต่มันก็ยังสามารถสร้างอุปสรรคใหม่ๆ ได้ในบางส่วน ในกรณีที่ไม่ได้ดำเนินการและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม "อย่าด่วนที่จะตัดสินใจใด ๆ โดยที่ยังไม่คำนึงถึงปัญหาในทุกๆ จุดที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลกระทบที่คุณสามารถระบุได้" นอกจากนี้ Burns ยังให้คำแนะนำอีกว่า "กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณมีความเข้าใจในทุกๆ ด้านที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริด และจะต้องรู้วิธีที่จะใช้มันเพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านธุรกิจด้วยเช่นกัน"
ที่มา: https://bit.ly/32CY0ps
สงวนลิขสิทธิ์ Copyright © 2024 บริษัท ควิกเซิร์ฟ โปรไวเดอร์ จำกัด
124/124 หมู่ที่ 2 ถนนนครอินทร์ ตำบลบางสีทอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 11130
โทรศัพท์ 0-2496-1234 โทรสาร 0-2496-1001