ข้อดีและข้อเสียของปัญญาประดิษฐ์ (AI) คืออะไร?
เราพิจารณาข้อดีและข้อเสียของเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกของธุรกิจ
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเทคโนโลยีที่ได้มีการกล่าวถึงในภาพยนต์ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มาช้านาน ซึ่งหากพูดถึงมัน แน่นอนว่ายังอีกห่างไกลที่มันจะสามารถเข้ามาปฏิวัติชีวิตของพวกเราได้ หรือหากจะคิดในแง่ที่แย่ที่สุดก็คงแค่เหมือนเจ้า HAL 9000 ในภาพยนต์เรื่อง A Space Odyssey อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน AI ได้ถูกนำมาใช้งานที่หลากหลายและยังมีศักยภาพสูงในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในอนาคต
เทคโนโลยี AI นี้ยังคงไม่สมบูรณ์และยังมีพื้นที่ให้ปรับปรุงอีกมากในหลายๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม ทศวรรษที่ผ่านมาพบว่าการใช้เทคโนโลยี AI ในการทำงานง่ายๆนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกภาคส่วน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้านที่ขับเคลื่อนโดย AI ซึ่งเป็นตัวอย่างทั่วไปของ AI ที่มีอยู่ในพื้นที่ผู้บริโภค ในทางเดียวกัน การใช้งานในอุตสาหกรรมก็เกือบจะแพร่หลายเช่นกัน โดยวิธีที่ธุรกิจปรับใช้ AI บางครั้งก็น่าประทับใจ และในบางครั้งบางธุรกิจก็อาจทำให้เกิดความกังวลได้ แต่ที่หน้าประหลาดใจคือโดยส่วนมากแล้วข้อเสียจากเทคโนโลยี AI มาจากการใช้งานโดยธุรกิจแทนที่จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลว่าการใช้ Alexa จะก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด
กรณีการใช้งาน AI
เมื่อกล่าวถึงระดับการใช้งานที่สูงขึ้น เรามีชื่อที่โดดเด่น อย่างเช่น Watson และ AlphaGo โดยพวกมันเหล่านี้คือระบบที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถเอาชนะคู่แข่งที่เป็นมนุษย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดได้อย่างรอบด้าน โดย AI ที่เล่นโป๊กเกอร์เป็นตัวอย่างล่าสุด ซึ่งสามารถเอาชนะผู้เล่นมืออาชีพได้ถึง 5 คนพร้อมกัน แม้ว่าการกระทำประเภทนี้อาจทำให้สามารถพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ได้ แต่การใช้ AI ส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงซ่อนอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ หากลองสังเกตเมื่อคุณใช้บริการอีเมลของ Google Gmail คุณอาจสังเกตเห็นว่าขณะนี้ระบบจะแสดงข้อความขณะที่คุณพิมพ์ การตอบกลับอีเมลจาก Sarah จะแนะนำชื่อของเธอทันทีที่คุณพิมพ์ "สวัสดี" โดยระหว่างทางมันจะเสนอคำแนะนำอื่นๆ (เช่น "อย่างไรบ้าง" เมื่อคุณเริ่มพิมพ์ "เป็น" ในประโยคแรกหรือสองประโยค) ในขณะที่คุณดำเนินการและเปลี่ยนทันทีเมื่อคุณพิมพ์ประโยค
กรณีการใช้งานหลักของ AI คือการขุดข้อมูลเพื่อช่วยให้ธุรกิจ องค์กรพัฒนาเอกชน รัฐบาล และอื่นๆ สามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดในทุกสิ่ง ตั้งแต่กลยุทธ์ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังช่วยให้ทำได้เร็วขึ้นกว่าที่เป็นมา แต่นั่นเป็นเพียงการเกาพื้นผิวของศักยภาพของ AI เพราะอันที่จริงแล้วมันมีการใช้งานในภาคส่วนและสถานการณ์อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมันได้มีการสำรวจและจะพูดถึงต่อในด้านล่างนี้ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเทคโนโลยีทั้งหมด มันไม่ได้เป็นกลางเสมอไปและยังมีศักยภาพสำหรับผลลัพธ์เชิงลบและผลประโยชน์ในระดับที่เท่าเทียมกันเสมอ นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยา สตีเฟน ฮอว์คิง มีชื่อเสียงโด่งดังกล่าวว่า AI เป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ และผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงร้ายแรงที่อาจเกิดจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสม คำถามคือ แล้ว AI เป็นพลังที่ดีหรือไม่? หรือเป็นสิ่งที่เราควรไม่ควรไว้วางใจ?
ข้อดีของ AI
AI กำลังจะเติบโตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการใช้งานเทคโนโลยีนี้เป็นที่น่าประทับใจ มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าเกินกว่าที่ธุรกิจจะมองข้าม ซึ่งนั้นหมายความว่าจำนวน AI ที่เราโต้ตอบด้วยในแต่ละวันจะเพิ่มขึ้นในทุกด้านของชีวิตและมีความยังปลอดภัยขึ้น และถึงแม้ว่าอัลกอริทึมที่เป็นอคติยังคงเป็นปัญหาอยู่ แต่ก็ยังมีการสร้างนวัตกรรมเพื่อทำให้ AI ดีขึ้นสำหรับทุกคน
ปรับปรุงประสิทธิภาพ
ปัจจุบันข้อมูลมีความสำคัญต่อธุรกิจพอๆ กับน้ำมัน และจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลนี้อย่างถูกต้องและรวดเร็วเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ตัวอย่างที่ดีของปัญญาประดิษฐ์ประเภทนี้กำลังถูกใช้โดย DeepMind เพื่อวินิจฉัยสภาพตาที่คุกคามสายตาด้วยความแม่นยำระดับเดียวกับแพทย์ชั้นนำของโลก ควบคู่ไปกับสถาบันจักษุวิทยาของ UCL และโรงพยาบาลตา Moorfields ในลอนดอน การวิจัยของพวกเขาอาจนำไปสู่การเปิดตัวระบบ AI ในโรงพยาบาลทั่วสหราชอาณาจักร และด้วยระบบ AI นี้แพทย์สามารถใช้เวลาน้อยลงในการศึกษาการสแกนดวงตานับพันครั้ง และสามารถช่วยวินิจฉัยผู้ป่วยได้ภายในไม่กี่วินาที
ขจัดความผิดพลาดของมนุษย์
แม้แต่มนุษย์ที่เก่งที่สุดก็ยังมีวันที่ผิดพลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นการเสียสมาธิหรือความผิดพลาดง่ายๆ อย่างไรก็ตาม เครื่องจักรอัจฉริยะที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทำงานเฉพาะจะไม่แสดงลักษณะเฉพาะเหล่านี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Amazon เพิ่งเริ่มเปิดตัวหุ่นยนต์อัตโนมัติเต็มรูปแบบในศูนย์ปฏิบัติงาน ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์เพื่อใช้แรงงานในส่วนที่ยากลำบากและคัดแยกบรรจุภัณฑ์ได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าสิ่งนี้จะทำให้คลังสินค้าของ Amazon ปลอดภัยขึ้นมาก การศึกษาในปี 2564 โดยกลุ่มพันธมิตรสหภาพแรงงาน The Strategic Organizing Center (SOC) ได้ข้อสรุปว่า 5.9 จากทุกๆ 100 พนักงานในคลังสินค้าของ Amazon ได้รับบาดเจ็บสาหัสในปี 2020 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่านายจ้างคลังสินค้ารายอื่นเพียงไม่ถึง 80%
เทคโนโลยีอัจฉริยะ
เช่นเดียวกับ Amazon ปัญญาประดิษฐ์นี้จะถูกนำไปใช้ในอนาคตเพื่อขับเคลื่อนบริการอัตโนมัติจำนวนมากของเรา เมืองเหล่านี้อาจเป็นเมืองอัจฉริยะที่คาดการณ์ว่าจะปรับปรุงสภาพแวดล้อมของเรา หรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองได้โดยใช้ AI เพื่อนำทางบนถนนและประเมินสิ่งกีดขวาง และด้วยความสามารถของเครื่อง AI ในการประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ มันจึงมีความสำคัญต่อเทคโนโลยีอัจฉริยะและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งตัวอย่างนี้มีการใช้งานบนสมาร์ทโฟนระดับบนหลายรุ่นแล้ว โดยที่ AI ทำงานในพื้นหลังโดยปรับการตั้งค่าของโทรศัพท์อย่างต่อเนื่องเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดหรือช่วยรักษาอายุการใช้งานแบตเตอรี่
ข้อเสียของ AI
เป็นเรื่องธรรมดาที่จะกลัวเทคโนโลยีที่ทรงพลังนี้ ประวัติล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวของข้อมูล มัลแวร์ และโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่ง AI นั้นก็ไม่แตกต่างกัน และความกังวลมากมายที่ผู้เฝ้าสังเกตการณ์ถืออยู่นั้นมีความสมเหตุสมผลในบางกรณี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการทำงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อลดข้อเสีย ในปี 2559 มีการก่อตั้งองค์กรทั่วทั้งอุตสาหกรรมซึ่งรวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนแวลลีย์ 5 แห่ง ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Partnership on Artificial Intelligence to Benefit People and Society โดยหน่วยงานนี้ทำงานเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ยุติธรรมและมีจริยธรรม ซึ่งศักยภาพของมันทำให้เกิดดิสรัปชันได้มากพอๆ กับสร้างประโยชน์ให้เช่นกัน
การตัดสินใจของ AI ในที่ทำงาน
ความเร็วและประสิทธิภาพของแอปพลิเคชั่น AI บางตัวทำให้พวกมันดูน่าสนใจสำหรับผู้บริหาร ที่ต้องการค้นหาคุณค่าที่มากขึ้นทั่วทั้งองค์กร วัตสันของไอบีเอ็มถูกนำมาใช้เพื่อตัดสินว่าพนักงานควรค่าแก่การขึ้นเงินเดือน โบนัส หรือการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่ โดยดูจากประสบการณ์และโครงการที่ผ่านมาของพนักงานเพื่อระบุคุณสมบัติและทักษะในอนาคตที่แต่ละบุคคลจะนำมาสู่บริษัทได้ แต่ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการตัดสินใจในลักษณะนี้ก็ทำให้เกิดความกังวลอยู่ไม่น้อย โดยสหพันธ์สหภาพแรงงาน (Trades Union Congress) ซึ่งเป็นสหพันธ์ที่เป็นตัวแทนของสหภาพแรงงานส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในปีที่แล้ว เพื่อปกป้องพนักงานจากเทคโนโลยีประเภทนี้ และแนะนำให้นายจ้างปรึกษาสหภาพแรงงานก่อนปรับใช้ระบบดังกล่าว Frances O'Grady เลขาธิการ TUC กล่าวว่า "การคาดการณ์ของเรายังไม่ถูกตรวจสอบ การใช้ AI ในการจัดการผู้คนจะทำให้งานกลายเป็นประสบการณ์ที่เด็ดขาดและโดดเดี่ยวมากขึ้น
การสูญเสียงาน
โอกาสในการสูญเสียงานของมนุษย์ถือเป็นข้อเสียอันดับหนึ่งของ AI ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดการเลิกจ้างพนักงานเนื่องจากพนักงานพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชนะเครื่องจักร อย่างไรก็ตาม ในขณะที่สถานการณ์ที่น่ากลัวนี้มักถูกนำเสนอเพียงด้านเดียว แต่มีการคาดว่า AI จะสามารถสร้างงานได้มากกว่าที่ควรจะเป็น รายงานล่วงหน้าของงานประจำปี 2020 ของ World Economic Forum (WEF) คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 ระบบอัตโนมัติจะส่งผลกระทบต่องานกว่า 85 ล้านตำแหน่งทั่วโลก แต่ในทางกลับกันก็จะเกิดงานกว่า 97 ล้านตำแหน่งในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์
Hamoon Ekhtiari ซีอีโอของ FutureFit AI กล่าวว่า "ไม่ว่าคุณจะเชื่อในการคาดการณ์เกี่ยวกับงานและทักษะแบบใด สิ่งที่เป็นความจริงก็คือความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นและความถี่ในการเปลี่ยนอาชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่แล้วและคนที่ถูกลดความสำคัญ" รายงานยังระบุด้วยว่า แม้ว่าการระบาดใหญ่จะเร่งการทำงานอัตโนมัติของงานที่ซ้ำซากและอันตรายมากมาย แต่ “คนงานประมาณ 40% จะต้องได้รับการฝึกฝนใหม่เป็นเวลา 6 เดือนหรือน้อยกว่านั้น” ทักษะด้านหนึ่งที่ควรค่าแก่การพัฒนาในเวลาสำหรับอนาคตที่ใช้ AI คือข้อมูล หากแต่ทักษะที่ละเอียดอ่อนก็ไม่ควรละเลยเช่นกัน John Whittingdale OBE อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อและข้อมูล อธิบายว่าทักษะด้านมนุษยธรรมนั้น “มีความสำคัญอย่างยิ่ง” และเสริมว่า “หากไม่มีทักษะเหล่านี้ มีโอกาสที่ข้อมูลจะถูกอ่านผิดหรือสื่อสารผิดพลาดได้ ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจและการตัดสินใจที่พวกเขาทำ”
ความผิดพลาดของมนุษย์
แม้ว่า AI จะสามารถขจัดข้อผิดพลาดของมนุษย์ออกจากกระบวนการได้อย่างแท้จริง แต่โค้ดของมันยังอยู่ภายใต้อคติ เนี่องด้วยการใช้อัลกอริทึมเป็นส่วนใหญ่ เทคโนโลยีนี้สามารถเข้ารหัสได้ ทั้งโดยที่รู้เท่าทันหรือไม่รู้เพื่อแยกแยะชนกลุ่มน้อยหรือการล้มเหลวในการตอบสนองกลุ่มที่โปรแกรมเมอร์ไม่ได้พิจารณา ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างระมัดระวัง แฮ็กเกอร์สามารถใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อรวบรวมข้อมูลสาธารณะได้ ตัวอย่างเช่น แชทบอทที่โชคร้ายของ Microsoft Tay Tweets จะต้องถูกลบทิ้งหลังจากผ่านไปเพียง 16 ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากมันได้เริ่มทวีตเนื้อหาที่เหยียดผิวและเหยียดหยามซึ่งขับเคลื่อนโดยข้อมูลจากผู้ใช้ Twitter คนอื่นๆ
ที่สำคัญไปกว่านั้น Tay Tweets ได้รับเนื้อหาที่แสดงความเกลียดชังโดยเจตนาโดยผู้ใช้ Twitter และ 4chan พยายามจะทำลายมัน แต่ตัวอย่างอื่นๆ ของ AI ที่ผิดพลาดก็ได้เกิดขึ้นแม้ว่านักพัฒนาจะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ตัวอย่างเช่น ในปี 2018 Amazon ตัดสินใจเลิกใช้อัลกอริทึมการรับสมัคร หลังจากพบว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครที่ไม่ใช่ผู้ชาย โดยระบบ AI มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการจ้างงานและได้รับข้อมูลแอปพลิเคชันสิบปีเพื่อช่วยฝึกการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการส่งผลงานส่วนใหญ่ถูกส่งโดยผู้ชาย ข้อสรุปที่ AI ได้ประมวลผลมาจึงกลายเป็นว่า ผู้ชายเป็นผู้สมัครที่บริษัทต้องการ
การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ
มีหลายสิ่งดีๆ ที่ให้คิดบวกเกี่ยวกับ AI ได้ เพราะไม่แปลกที่เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ต่างๆ อาจมีอำนาจในการทำลายโครงสร้างที่มีอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือองค์กรก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การคำนึงถึงข้อเสียนั้นไม่ได้หมายความว่ามันจะก่อผลประโยชน์เช่นกัน เพราะอันที่จริงแล้ว ผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจจะต้องได้รับการเตือนไม่ให้ทำสิ่งนี้ มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียต่อการปรับปรุงที่ชัดเจนนี้ได้ ดังนั้นการใช้ AI อย่างระมัดระวังจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจรณา โดยให้ "ดูวิธีที่คุณใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันในระหว่างการโต้ตอบที่สำคัญกับลูกค้า ช่วงเวลาทางธุรกิจ และพิจารณาว่ามูลค่าของช่วงเวลาเหล่านั้นจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร จากนั้นจึงค่อยใช้ AI กับจุดเหล่านั้นเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ" วิต แอนดรูส์ รองประธานฝ่ายวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงกล่าวที่การ์ทเนอร์
"โครงการ AI เผชิญกับอุปสรรคเฉพาะอันเนื่องมาจากขอบเขตและความนิยม ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณค่า ลักษณะของข้อมูลที่พวกเขาพบ และความกังวลด้านวัฒนธรรม เพื่อเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ CIO ควรตั้งความคาดหวังที่เป็นจริงได้ โดยระบุกรณีการใช้งานที่เหมาะสมและสร้างโครงสร้างองค์กรใหม่" Gartner แนะนำว่าผู้นำธุรกิจและไอทีควรพยายามตัดโฆษณา AI ออกจากความเป็นจริง โดยพิจารณาอย่างรอบคอบและชั่งน้ำหนักโอกาสและความเสี่ยง บริษัทวิเคราะห์เตือนว่าการมุ่งเน้นที่ระบบอัตโนมัติอย่างหมกมุ่นอยู่กับภาพรวม จะมีแต่บดบังผลประโยชน์ในวงกว้างเท่านั้น
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 รัฐบาลสหราชอาณาจักรและสถาบัน Alan Turing ได้ร่วมกันประกาศจัดตั้งศูนย์วิจัย AI (Defence Center for AI Research) เป้าหมายของพวกเขาคือการพัฒนาพื้นที่ของการวิจัย AI ที่กำลังพิสูจน์ความท้าทายในการดำเนินการ เช่น การฝึกอบรมโดยไม่ต้องใช้ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ จริยธรรมของ AI และเกมสงคราม โดย Max Tegmark ประธานสถาบัน Future of Life กล่าวว่า "ทุกสิ่งที่เรารักเกี่ยวกับอารยธรรมล้วนเป็นผลมาจากความฉลาด "การขยายความฉลาดของมนุษย์ด้วยปัญญาประดิษฐ์มีศักยภาพในการช่วยให้อารยธรรมเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตราบเท่าที่เราจะสามารถจัดการเพื่อให้เทคโนโลยีนี้เป็นประโยชน์ได้"
องค์กรยังสามารถตรวจสอบได้ว่าการใช้ระบบ AI ของพวกเขาละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลโดยใช้ชุดเครื่องมือการประเมินความเสี่ยง ที่เปิดตัวโดยสำนักงานกรรมาธิการข้อมูล (ICO) หรือไม่ AI และ Data Protection Risk Assessment Toolkit ซึ่งมีให้ใช้งานในรุ่นเบต้า จะใช้แนวทางที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ของหน่วยงานกำกับดูแลเกี่ยวกับ AI รวมถึงสิ่งตีพิมพ์อื่นที่จัดทำโดย Alan Turing Institute โดยมันจะประกอบด้วยคำชี้แจงความเสี่ยงที่องค์กรสามารถใช้ในขณะที่ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้เข้าใจถึงความหมายที่อาจเกิดขึ้นต่อสิทธิ์ของบุคคลได้ ตามกรอบการตรวจสอบที่พัฒนาโดยทีมประกันและสอบสวนภายในของ ICO โดยชุดเครื่องมือนี้ยังให้คำแนะนำสำหรับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ที่บริษัทต่างๆ สามารถนำไปใช้เพื่อจัดการและลดความเสี่ยงได้
ที่มา: https://bit.ly/3RIdtLy