เนื่องจากแบบจำลองนี้ได้ดึงความเข้าใจของเราเกี่ยวกับสมองมนุษย์ทุกวันนี้เราจึงเรียกมันว่า Deep learning.
คำว่า 'ลึก' หรือ ‘Deep’ หมายถึงการสร้างโครงข่ายประสาทเทียมแบบเลเยอร์คล้ายกับตาข่ายของเซลล์ประสาทที่เชื่อมต่อกันซึ่งอยู่ภายในสมอง แต่ไม่เหมือนกับสมองที่ทำหน้าที่เหมือนตาข่ายสามมิติที่เซลล์ประสาทหนึ่งสามารถสื่อสารกับส่วนอื่นๆ ภายในบริเวณใกล้เคียงได้เครือข่ายประดิษฐ์เหล่านี้มีโครงสร้างที่ทำเป็นชั้นโดยมีเลเยอร์บนเลเยอร์(layer upon layer)ของเส้นทางเชื่อมต่อเพื่อให้ข้อมูลนั้นไหลได้เทคนิคนี้เรียกว่า Backpropagationเทคนิคที่ปรับน้ำหนักระหว่างโนดในเครือข่ายเพื่อให้แน่ใจว่าจุดข้อมูลที่เข้ามาจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
นักวิจัยต้องการสร้างกระบวนการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนของสมองขึ้นมาใหม่แต่ละเลเยอร์จึงถูกออกแบบให้วิเคราะห์ข้อมูลและเพิ่มเติมข้อมูลประกอบสำหรับข้อมูลนั้นๆ ทุกครั้งอีกด้วย เมื่อวัตถุผ่านแต่ละเลเยอร์ ความแม่นยำของภาพที่ถูกต้องและความเข้าใจก็จะมีความเป็นไปได้มากขึ้น
อย่างในตัวอย่างของลูกโป่งวันเกิดที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ภาพจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนประกอบต่างๆของลูกโป่งวันเกิด ไม่ว่าจะเป็นสี หมายเลขหรือตัวอักษรใดๆ บนพื้นผิว รูปร่าง หรือแม้กระทั่งแยกว่าว่าลูกโป่งถูกจับไว้หรือลอยอยู่บนอากาศ จากนั้นแต่ละส่วนจะถูกวิเคราะห์โดยเซลล์ประสาทเลเยอร์ที่หนึ่งเพื่อประมาณการและส่งผ่านข้อมูลไปยังเลเยอร์ถัดไป
ระบบนี้ยังสามารถทำงานได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถูกใช้ในการป้องกันการฉ้อโกง ยกตัวอย่างเช่น ระบบสามารถออกแบบมาเพื่อระบุกิจกรรมของบัญชีฉ้อโกงที่โยงกับเครือข่ายประสาทโดยใช้ข้อมูลดิบก่อนหน้า แล้วหลังจากนั้นมันจะเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมที่ไหลผ่านในระบบด้วย เช่น ราคาซื้อขายของที่นำเข้าและข้อมูลด้านตำแหน่งต่างๆ
ในขณะที่บางเครือข่ายอาจมีเพียงไม่กี่เลเยอร์ แต่บางโปรแกรมอย่าง AlphaGo ของ Google นั้นมีหลายร้อยเลเยอร์ จนสามารถเอาชนะผู้เล่นระดับแชมป์ของเกมกระดานจีนได้ในปี2559 ได้ โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งนี้ต้องการอานุภาพในการคำนวณที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม โครงข่ายประสาทนั้นเป็นความใฝ่ฝันของผู้บุกเบิก AI ยุคแรกเสมอ แม้ในปัจจุบันมันก็ยังไม่สามารถทำได้ Deep learning ในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน ระบบMachine learning ที่ทันสมัยที่สุดหลายแห่งใช้เครือข่ายประสาทเทียมในการประมวลผลข้อมูล ความสำเร็จล่าสุดในอุตสาหกรรมรถยนต์ไร้คนขับเป็นไปได้เนื่องจากDeep learning ในขณะที่หลักการยังถูกนำไปใช้ในภาคการป้องกันและการบินเพื่อระบุวัตถุจากอวกาศอีกด้วย
ในขณะที่ศักยภาพของDeep learning นั้นมีมหาศาล แต่ก็มีข้อจำกัดเมื่อต้องทำงานที่คล้ายกับมนุษย์มากขึ้นเช่นกัน เพราะ Deep learning นั้นมีการจดจำรูปแบบอย่างกฎที่ซับซ้อนแต่ตายตัวของ Goแต่นักวิจัยชี้ให้เห็นว่า Training Data จำนวนมากจำเป็นต้องสอนเครื่องจักรแค่กฎที่เฉพาะเจาะจง
การจดจำรูปแบบอาจเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของ AIในด้านการติดต่อ โดยมีDeep learningทำหน้าที่เป็นเครือข่ายสนับสนุนอินพุตแบบ Multimodal ที่รวมความสามารถด้านเสียงและการรับรู้จะถูกประมวลผลควบคู่ไปกับเอาท์พุทแบบMultimodal เช่น รูปภาพและเสียงสังเคราะห์ บริษัทอย่างสตาร์บัคส์ไปจนถึงApple กำลังปรับใช้ระบบข่าวกรองนี้ ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการสั่งซื้อผ่านแอพพลิเคชั่นของพวกเขาผ่านทางคำสั่งเสียงและความสะดวกในการเข้าสู่อุปกรณ์ด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว
ในการขั้นของการพัฒนาในปัจจุบัน ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่ Deep learningจะดำเนินการกระบวนการที่ซับซ้อนและมีกระบวนการคิดแบบปรับได้อย่างมนุษย์ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยียังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
Deep learning ในอนาคต
Deep learningอาจไม่ส่งผลสำหรับหุ่นยนต์สังหารในช่วงเวลาอันใกล้ นี้แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลงแง่มุมพื้นฐานของสังคมในรูปแบบอื่น
กลุ่มวิจัย Google Brainแสดงให้เห็นถึง วิธีที่ AI นั้นเรียนรู้อย่างลึกซึ้งได้อย่างไร โดยไม่ต้องระบุวงจำกัดของการทดลองสำหรับการระบุแมวแต่ละตัว หลังจากนั้น ข้อมูลของแมวหลายล้านตัวถูกส่งต่อไปยัง 'Google Brain' และเครือข่ายสามารถระบุรูปภาพได้โดยไม่ต้องใช้ข้อมูลกำกับ
การระบุแมวแต่ละตัวอาจดูเหมือนเป็นแค่การทดสองพื้นฐาน แต่นั่นก็ทำให้เห็นว่าการพัฒนาดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้มากขึ้น
ผลการศึกษาเกี่ยวกับ AI ในวงการแพทย์ โดยมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมพบว่าDeep learning นั้นมีความเชี่ยวชาญในการตีความภาพทางการแพทย์เทียบเท่าความเชี่ยวชาญของมนุษย์เลย นี่อาจเป็นการปูทางให้ AI ได้มีบทบาทในวงการแพทย์ที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น เพื่อลดความเครียดของเหล่าบุคลากรทางการแพทย์และช่วยให้แพทย์ใช้เวลากับผู้ป่วยได้เยอะมากขึ้น
สิ่งน่าตื่นเต้นที่สุดของ Deep learning คือมันกำลังถูกขนานนามว่าเป็นดั่งกระดานกระโดดน้ำที่ถูกค้นพบในจักรวาล โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย ETH ซูริค ได้เปิดเผยงานวิจัยที่พวกเขาได้ลองใช้เครือข่ายประสาทเทียมเพื่อศึกษาสสารมืดโดยเปรียบเทียบกับกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล พวกเขาพบว่า Deep learning บ่งบอกค่าได้แม่นยำกว่า 30% เมื่อแยกองค์ประกอบของจักรวาล สสารแบริออน สสารมืดและพลังงานมืด นักวิจัยได้สรุปว่า Deep learning สร้างโอกาสที่ดีสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางดาราศาสตร์ในอนาคต
และสิ่งที่จะเป็นไปอย่างแน่นอนคือการระดมทุนเข้าสู่ AI - Pentagonhas เพื่อจัดสรรงบประมาณเกือบ 1พันล้านดอลลาร์ให้ AI โดยเน้นการศึกษาวิจัยDeep learning ในปี 2563เพื่อที่อิทธิพลของ AI และ Deep จะได้เติบโตขึ้นไปในอนาคต