MSA Arrays ของ HPE เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับ SMB (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) เนื่องจากมีคุณสมบัติในการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของการทำงานแบบ Storage Virtualization ที่ดีเยี่ยม ในราคาที่ถูกที่สุดจนคุณเองก็คาดไม่ถึง สำหรับ HPE MSA 205x Series นี้นับเป็น Storage รุ่นที่ 5 ของตระกูล MSA โดยมีออกมา 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ HPE MSA 2050 และ HPE MSA 2052 ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ได้มีการปรับประสิทธิภาพในด้านความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จากรุ่นที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ ในขณะที่ยังคงมีราคาเท่าเดิม
มาพร้อมกับซีพียูในตระกูล Broadwell ที่ได้รับการพัฒนาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคอนโทรลเลอร์ใหม่ที่ว่านี้ ประกอบไปด้วยแคชสำหรับหน่วยความจำที่มีมากขึ้นเป็นสองเท่า โดยที่แต่ละตัวจะมีหน่วยความจำที่ 8GB และมีตัวเก็บประจุขนาดใหญ่ รวมถึงเมมโมรีการ์ด CompactFlash ที่จะช่วยปกป้องเนื้อหาของคุณในกรณีที่เกิดไฟฟ้าดับ
ตัวเลือกการเชื่อมต่อที่มีให้เลือกมากมาย เนื่องจากเป็นคอนโทรลเลอร์ที่ผสานกันอย่างลงตัวใน SAN (Storage Area Network) โดยแต่ละโมเดลจะมีพอร์ต 4 x SFP+ ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสองคู่ โดยแต่ละกลุ่มสามารถรองรับ 8/16Gbps Fibre Channel หรือ 1/10GbE iSCSI เพียงแค่ทำการติดตั้งอุปกรณ์รับส่งข้อมูลที่ต้องการ เพื่อเป็นการกำหนด Personality - Remembering ซึ่งตัวควบคุมทั้งสองตัวจะต้องตรงกัน
นอกจากนี้ HPE มีการนำเสนอในรูปแบบของ Controller 12Gbps SAS3 4 พอร์ต ด้วยเช่นกัน สำหรับการจัดเก็บข้อมูลที่แนบมาโดยตรง ซึ่งคุณสามารถมีช่องสำหรับใส่ไดร์ฟ Hot-Swap ได้ถึง 12 LFF หรือ 24 SFF และทุกรุ่นยังสามารถรองรับ SAS3, Midline SAS และ SSD ในขณะที่รุ่น 2050 ยังมีความสามารถในการจัดการกับไดร์ฟเข้ารหัสด้วยตนเอง
คุณสมบัติโดยทั่วไปของซอฟต์แวร์ที่จัดได้ว่าเป็นมาตรฐานของ HPE MSA 205x Series ทั้งในรุ่น 2050 และ 2052 นั้น ประกอบไปด้วยคุณสมบัติด้านการจัดเตรียมข้อมูล, Snapshots, Volume Copies และ SSD Read Caching ซึ่งคุณลักษณะที่โดดเด่นก็คือ การจัดระดับข้อมูลโดยอัตโนมัติของ HPE ที่เป็นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของ SSD โดยมีทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลที่เป็น Hot Data และช่วยในการส่งมอบข้อมูลด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น
ที่กล่าวมานั้นเป็นทางเลือกสำหรับ HPE MSA 2050 ในขณะที่รุ่น 2052 จะประกอบไปด้วย MSA Advanced Data Services Suite ของ HPE ซึ่งจะเป็นการเพิ่มจำนวนของ Snapshots และเปิดใช้งานระดับประสิทธิภาพ โดยมาตรฐานเหล่านี้และพื้นที่จัดเก็บจะรวมอยู่ในทุกโมเดล ซึ่งข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในไดร์ฟ SAS และจะถูกย้ายไปยังไดร์ฟ Midline SAS เมื่อมันมีการเข้าถึงที่น้อยลง
อุปกรณ์จะทำการวิเคราะห์การใช้ข้อมูลในแบบเรียลไทม์ โดยมีการเคลื่อนย้ายหน้าเว็บ 4MB ที่เกิดขึ้นทุกๆ 5-10 วินาที ซึ่งช่วยให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ Input/output ได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งก็จัดว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับการเปลี่ยนแปลงหรือปริมาณงานที่คาดเดาไม่ได้ เมื่อเทียบกับ SMB arrays จำนวนมากที่แข่งขันกันอยู่ ที่ใช้เฉพาะการประมวลผลแบบ Batch Processing โดยเป็นการประมวลผล Input/output รายวันเท่านั้น
เป็นข่าวดี ที่คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดเก็บข้อมูล เพื่อปรับใช้ MSA 2052 กับงานของคุณ เนื่องจาก เว็บคอนโซลที่เรียบง่ายอย่าง SMU v3 จะเป็นตัวช่วยให้การเริ่มต้นเป็นไปอย่างรวดเร็วใน 9 ขั้นตอน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการช่วยกำหนดค่าการเข้าถึงการจัดการ, การตั้งค่าระบบและการกำหนดพอร์ตข้อมูล จากระบบการรีวิวของเราซึ่งได้รับการจัดเตรียมสำหรับ Transceivers เต็มรูปแบบของ 10GbE SFP + iSCSI ดังนั้นเราจึงต้องมีการกำหนด IP Addresses แบบคงที่ให้กับแต่ละอัน
การจัดเก็บข้อมูลนั้นเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายพอสมควร เนื่องจากอุปกรณ์สามารถรองรับได้ทั้งสอง 2 Pools โดยการสั่งงานไปที่ Controller แต่ละตัวแยกกัน โดยที่ Pools จะประกอบไปด้วยกลุ่มของดิสก์ที่หลากหลาย ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยการเลือกชนิดของดิสก์หรือ SSDs, RAID levels และ Controller ที่ควรจะกำหนดให้
ไม่มีอะไรที่จะต้องทำนอกจากนี้; ซึ่งเครื่องจะทำการจัดวาง SSDs ไว้ใน Performance Tier โดยอัตโนมัติ, SAS ไดร์ฟ ใน Standard Tier และ Midline SAS ไดร์ฟ ใน Archive Tier ถ้า Pool ไม่ได้ถูกใช้ใน Performance Tier คุณสามารถสร้าง SSDs ขึ้นมาได้ เพื่อทำหน้าที่เป็นแคชหากว่าคุณต้องการ
ในการสร้าง Virtual Volumes (vVols) คุณสามารถทำได้อย่างง่ายดาย โดยการเลือกชื่อและขนาด จำนวนข้อมูลในปริมาณที่เราต้องการและทำการระบุ Controller เพื่อตัดสินใจว่าจะใช้ Pool ใดในการควบคุมดังกล่าว คุณสามารถยกเลิกการทำงานของอุปกรณ์ เพื่อจัดการการเคลื่อนไหวของข้อมูลทั้งหมด หรือเลือกระดับความสัมพันธ์เพื่อบังคับให้ใช้ในระดับ Performance หรือ Archive Tiers ซึ่งเป็นการจัดเก็บแบบถาวร
ก่อนหน้านี้ คอนโซล SMU ให้การรองรับเฉพาะ Snapshots ของ Virtual Volumes เท่านั้น แต่ได้รับการอัพเดตเพื่อให้รวมอยู่ในตารางเวลา โดยที่คุณยังสามารถสร้าง Snapshots ได้ตามความต้องการ และในขณะนี้ คอนโซลยังอนุญาตให้คุณกำหนดให้พวกมันทำซ้ำได้บ่อยในทุกๆนาที, การทำ Daily Time Window และการตัดสินเพื่อทำการเลือกเก็บ ได้ถึง 16 Snapshots
Snapshots มีคุณสมบัติที่หลากหลาย ในขณะที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ Pool อย่างฟุ่มเฟือย นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกเอา Child Snapshots (ซึ่งเป็น Snapshots ของ Snapshots) มาใช้ได้ คุณยังสามารถทำการรีเซ็ต Snapshots เพื่อให้มีข้อมูลล่าสุดและทำแผนที่ไปยังไดร์ฟข้อมูลใหม่เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการ
การกู้คืนข้อมูลจาก Snapshot เป็นการจัดการอย่างรวดเร็วภายใน 3 ขั้นตอน ซึ่งเราได้ทำการทดสอบโดยการลบข้อมูลบางส่วนออกจาก Virtual Volume โดยทำการเลือก Rollback option, เลือก Snapshot ที่ต้องการ, ทำการยกเลิกการเชื่อมต่อของข้อมูลจากโฮสต์ที่เชื่อมต่อ หลังจากนั้นคุณจะมีข้อมูลที่ได้จากการเรียกคืนข้อมูลภายในเวลาไม่ถึง 10 วินาที
สำหรับการทดสอบนั้น เราใช้โฮสต์ Windows Server 2016 สองเครื่องที่ติดตั้งด้วยอะแดปเตอร์ SFP + 10GbE แบบสองพอร์ต
หนึ่งในนั้น ถูกเชื่อมต่อกับสองพอร์ตบน Controller A และอีกหนึ่งชุดถูกเชื่อมต่อไปยัง Controller B เพื่อให้เราสามารถสร้างการเชื่อมโยง MPIO ที่โหลดได้
HPE ได้จัดเตรียมระบบทดสอบของเราไว้ด้วย 4 SSDs, 8 SAS ไดร์ฟ และ 12 Midline SAS ไดร์ฟ โดยที่เราได้ทำการสร้าง Pool ไว้สอง โดยแต่ละ Pool จะมีสามระดับ และทำการแม็พไดร์ฟ Virtual volumes ไปยังแต่ละโฮสต์
ด้วยประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของ IP SAN, จากการทำงานของ IOmeter บนเซิร์ฟเวอร์ทั้งสองเครื่อง ทำให้สามารถอ่านและเขียนข้อมูลได้ด้วยความเร็วที่ 28Gbits / sec และ 20.5Gbits / sec ตามลำดับ และจากผลการดำเนินงานแบบสุ่ม (Random Performance) ก็ยังคงให้ผลที่ดีเช่นเดียวกัน จากที่มีการบันทึก IOmeter พบว่ามีอัตราการอ่านและเขียนที่ 26.1Gbits / sec และ 13.5Gbits / sec ตามลำดับ
จะเห็นได้ว่า I / O Throughput มีประสิทธิภาพการทำงานในอัตราที่สูงเช่นกัน ตามที่เราได้ทำการบันทึกอัตราการอ่านและเขียนทั้งหมดได้ที่ 151,000 IOPS และ 67,000 IOPS ตามลำดับ และสำหรับการดำเนินการแบบสุ่มเราจะเห็นว่าอัตราการอ่านและเขียนทั้งหมดอยู่ที่ 116,000 IOPS และ 64,000 IOPS ตามลำดับ
สำหรับ SMB ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในราคาที่สมเหตุสมผล คุณจะไม่พบทางออกที่ดีไปกว่าการตัดสินใจใช้ MSA 2050/2052 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของ HPE ส่วนราคาที่เราแสดงให้เห็นก็คือ รุ่น 2052 SFF SAN โมเดล Q1J03A ซึ่งประกอบไปด้วย SSDs แบบผสมผสาน ขนาด 2 x 800 GB เพื่อช่วยให้คุณเริ่มต้นและเปิดใช้งานในส่วนของฟีเจอร์การแบ่งชั้นข้อมูลทั้งหมดได้เป็นอย่างดี ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะคุ้มค่าไม่น้อยเลยทีเดียว