วิธีเลือกขนาดเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกต้องสำหรับคุณ
ฮาร์ดแวร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ เป็นการเสริมสร้างรากฐานที่ดี
เชื่อหรือไม่ว่า ในทุกๆวัน คุณอยู่ท่ามกลางเซิร์ฟเวอร์ ไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรขนาดเล็กที่จัดการเครือข่ายพรินเตอร์ หรือแม้กระทั่งเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลที่เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายสำหรับผู้ใช้จำนวนมากเพื่อใช้สำรองไฟล์ข้อมูล เซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นอยู่รอบ ๆ ตัวคุณ แน่นอนหละว่าเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนไม่กี่คน เข้าถึงพร้อม ๆ กันได้ และไม่ได้มีประสิทธิภาพมากไปกว่าคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปทั่วไป
การกำหนดขนาดเซิร์ฟเวอร์
เมื่อไรก็ตามที่คุณเลือกเซิร์ฟเวอร์ จะต้องพิจารณา 3 องค์ประกอบหลักของฮาร์ดแวร์ เพื่อกำหนดขนาดแพคเกจเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสม
1) โปรเซสเซอร์ – หน่วยประมวลผลกลาง เป็นส่วน ‘สมอง’ ของเซิร์ฟเวอร์ เซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่มีโปรเซสเซอร์แบบมัลติคอร์ทำให้สามารถป้องกันการโจมตีโดยที่มีความเร็วและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปโปรเซสเซอร์ของคุณที่เร็วกว่านั้น ทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานได้อย่างราบรื่น รวมทั้งโปรแกรมต่าง ๆ และซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนจะทำงานได้ดีขึ้น
2) RAM – คือ ‘หน่วยความจำ’ มีความสำคัญมากต่อการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ เนื่องจากช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ต้องบังคับให้มีการอ่านหรือเขียนลงไดรฟ์จัดเก็บข้อมูลของเซิร์ฟเวอร์แต่อย่างใด แม้แต่บล็อกส่วนตัวยังต้องการขนาดหน่วยความจำเป็นที่เพียงพอ เนื่องด้วยโปรแกรม CMS ยอดนิยมอย่างเช่น WordPress ต้องใช้หน่วยความจำเป็นในการทำงาน สำหรับเซิร์ฟเวอร์เฉพาะงาน (dedicated server) นั้น RAM ขนาด 4GB เป็นขนาดต่ำที่สุดที่ควรพิจารณา
3) พื้นที่ฮาร์ดไดรฟ์ – ฮาร์ดไดรฟ์เป็นองค์ประกอบสุดท้ายของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความสำคัญ เนื่องจากมันจำกัดจำนวนที่เซิร์ฟเวอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บไฟล์รูปภาพต่าง ๆ หรือไฟล์ HTML เว็บไซต์จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการหายใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ (ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่มีสินค้านับพันรายการ) ซึ่งจำเป็นต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ หากโฮสติ้งขององค์กรมีตัวเลือก ไดรฟ์แบบ SSD นั้นเร็วกว่าและเชื่อถือได้มากกว่า เนื่องจากไม่มีส่วนที่เคลื่อนไหวเหมือนกับไดรฟ์แบบเก่า
ฟังก์ชั่น Redundancy
แม้ว่าความเร็วและกำลังของฮาร์ดแวร์มีความสำคัญยิ่งต่อการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ในแต่ละวัน แต่คุณจำเป็นต้องพิจารณาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งไว้ในเซิร์ฟเวอร์ด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับการปกป้องข้อมูลและการทำงานที่ล้มเหลว ยกตัวอย่างเช่น เซิร์ฟเวอร์หลายเครื่องที่มีการสำเนาของข้อมูลในหลายฮาร์ดไดรฟ์ เป็นการเรียกใช้งานฮาร์ดไดรฟ์สองชุดใน “Raid-1” นั้น เพื่อให้แน่ใจว่าหากไดรฟ์ตัวใดตัวหนึ่งทำงานล้มเหลวจะไม่ให้การทำงานของระบบทั้งหมดหยุดทำงานลง Raid 1, 5, และ 6 เป็นทางเลือกส่วนใหญ่ในการทำ Redundancy แต่ต้องใช้ไดรฟ์หลายตัว ซึ่งราคาก็จะแพงขึ้น แต่ก็ทำให้คุณอุ่นใจขึ้นในระยะยาว
จำนวนคนเข้าชมเวบไซต์สูงสุด (Peak Traffic) และ “กอดแห่งความตาย”
ทุก ๆ เว็บไซต์ต้องกังวลกับการเข้าชมสูงสุด (Peak Traffic) ซึ่งเป็นจำนวนผู้ใช้งานที่พยายามเข้าถึงเว็บไซต์ในช่วงที่มีการจราจรสูงสุด สำหรับเว็บไซต์องค์กรแล้วมักเกิดขึ้นหลังจากได้ออกจดหมายข่าวสำคัญ ๆ ขณะที่เว็บไซต์ส่วนบุคคลมักพบการเข้าถึงเป็นครั้งคราวเมื่อถูกนำเสนอผ่านทางโซเซียลมีเดีย ซึ่งเป็นเนื้อหาที่นำเสนอออกไปในลักษณะของการบอกต่อ (viral)
อันตรายที่เกิดจากการไม่เตรียมตัว
หากเว็บไซต์ของคุณไม่สามารถจัดการกับการเข้าชมช่วงที่มีการเข้าชมสูงสุดได้ อาจทำให้เว็บไซต์ทำงานช้าลงหรือออฟไลน์ในที่สุด สิ่งนี้เป็นผลที่ร้ายแรงมากต่อเจ้าของเว็บไซต์ เนื่องจากเว็บไซต์นั้นหยุดทำงานลง (หรือไม่สามารถเข้าถึงได้เลย) ในช่วงเวลาที่มีคนเข้าเวบไซต์สูง เมื่อเว็บไซต์หยุดทำงานทำให้ผู้ใช้งานที่มุ่งหวังเข้าถึงเว็บไซต์ไม่สามารถเข้าได้ และเสียความรู้สึกไป
การเลือกโฮสต์เพื่อจัดการการเข้าชมสูงสุด
แม้ว่ามีระบบบริการจัดส่งเนื้อหาข้อมูลของบุคคลที่สาม (third-party) ที่มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างเว็บไซต์ในช่วงเวลาที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่การประเมินความสามารถที่แท้จริงของเว็บไซต์จะช่วยรักษาระดับการเข้าชมที่สูงขึ้นและมีผลต่อการเลือกแพคเกจโฮสติ้งอีกด้วย ทำนองเดียวกับการเลือกซื้อบ้านใหม่ที่มีห้องนอนเสริมเพิ่มเติมเมื่อคุณวางแผนที่จะมีครอบครัวใหม่ในสักวันหนึ่ง คุณควรเลือกซื้อแพคเกจเว็บโฮสติ้งที่มีแบนด์วิธและมีความสามารถเพียบพร้อมสำหรับเซิร์ฟเวอร์เพื่อจัดทำเว็บไซต์ของคุณตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนแคมเปญการใช้จ่ายทางการตลาดเกิดขึ้น