HPE ส่งมอบสมรรถนะชั้นนำในอุตสาหกรรมและข้อเสนอที่อิงฐานการบริโภค (consumption-based) เท่านั้น รองรับ Azure Stack เพื่อช่วยให้ลูกค้าเร่งใช้งานระบบ hybrid cloud ของ Microsoftเมืองออร์แลนโด – กันยายน 25, 2017 – ในวันนี้ Hewlett Packard Enterprise (HPE) ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ HPE ProLiant พร้อมใช้งานสำหรับ Microsoft Azure Stack ในงาน Microsoft Ignite

ทุกวันนี้ การจัดการองค์กรและการบริการด้านไอทีต่าง ๆ ผ่านโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริด (hybrid infrastructure) ที่ผสมผสานทำงานร่วมกันระหว่างระบบเดิมที่อยู่ภายในองค์กร (On-Premises), ระบบคลาวด์ภายในองค์กร (private cloud) , ระบบคลาวด์ที่พร้อมใช้งาน (managed cloud) และระบบคลาวด์แบบสาธารณะ (public cloud) ด้วยเหตุนี้ไอทีจึงอยู่ภายใต้แรงกดดันเพื่อตอบสนองต่อสายงานธุรกิจ และความคิดริเริ่มของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่อาศัยความเร็วของระบบคลาวด์ เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร และผสมผสานกับไอทีอย่างลงตัว จัดทำทั้งหมดนั้นพร้อมทั้งช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไปในตัว
HPE ProLiant สำหรับ Microsoft Azure Stack จึงช่วยให้ลูกค้าสามารถ :

- ดำเนินงานและจัดการบริการ Azure-consistent service ต่าง ๆ ที่อยู่ภายในองค์กร – HPE ProLiant สำหรับ Microsoft Azure Stack รวมเอา HPE OneView เพื่อลดความซับซ้อนการดำเนินงานของ Azure Stack ทำให้ง่ายต่อการจัดการอัพเดตซอฟต์แวร์และเฟิร์มแวร์ รวมทั้งตรวจสอบสถานะของระบบได้ง่าย นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานของ HPE ยังมีความสามารถมากและความเร็วที่สูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้​

- การเชื่อมโยงระหว่าง HPE กับ Microsoft และผู้เชี่ยวชาญของบุคคลที่สาม (third party expert) สามารถร่วมกันวางแผน สร้าง และจัดการคลาวด์ไฮบริดได้ –  ความเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของศูนย์นวัตกรรม HPE-Microsoft Azure Stack Innovation Center ที่ก่อตั้งขึ้นในเมืองเบลเลอวู วอชิงตัน ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะได้รับประสบการณ์แบบไร้รอยต่อเมื่อได้ใช้ประโยชน์จาก Azure Stack ผ่านโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ซอฟต์แวร์ (software) และบริการ (service) ต่าง ๆ ของ HPE ลูกค้าสามารถทำงานร่วมกับ HPE และผู้เชี่ยวชาญของ Microsoft เพื่อดำเนินงานธุรกิจ วางแผนทางด้านเทคนิคเพื่อทดสอบการใช้งานและดำเนินการทดสอบแนวคิดระบบงาน (proof of concept)

- ดำเนินงานบริการ Azure Stack service ต่าง ๆ ที่อิงฐานการบริโภคสำหรับการเรียกเก็บเงินแบบง่ายและลดค่าใช้จ่าย – HPE เป็นผู้ให้บริการรายเดียวที่นำเสนอบริการ Azure Stack service และโครงสร้างพื้นฐานในใบแจ้งหนี้ฉบับเดียวบนพื้นฐานอิงการบริโภค ซึ่ง HPE ProLiant สำหรับ Microsoft Azure Stack สามารถใช้ร่วมกับ HPE Flexible Capacity เสนอขายตามความต้องการและการชำระเงินตามการบริโภคเท่านั้น โดยที่ HPE Flexible Capacity ช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับขนาดและเพิ่มความสามารถได้ตามต้องการ ทำให้พวกเขาจ่ายเฉพาะสิ่งที่พวกเขาใช้งานจริงที่ต่ำที่สุด มาพร้อมด้วยคลาวด์ความเร็วสูงและใช้งานภายในองค์กรที่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เทียบเท่ากับต้นทุนระบบคลาวด์แบบสาธารณะ

“ลูกค้าของเราขะมักเขม้นอยู่ในโลกระบบไฮบริดที่ซับซ้อนที่ต้องอาศัยเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้ใช้งานง่ายและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสภาพแวดล้อมไอทีไฮบริดเหล่านั้น”กล่าวโดย McLeod Glass รองประธานและผู้จัดการทั่วไปด้าน Software-Defined และ Hyperconverged Solution ของ HPE “HPE และ Microsoft มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการจัดการคลาวด์ไฮบริดที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น ด้วยการขยายขีดความสามารถที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ของเราไว้ใน Microsoft Azure Stack และ Windows Server 2016 เรากำลังลดความซับซ้อนและเพิ่มความเร็วในการปรับใช้ความสามารถของระบบคลาวด์ภายในองค์กร จึงช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จในการทำโครงการริเริ่มการแปลงระบบดิจิตอล (digital transformation initiative) ได้ ”

โซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับ Azure Stack ซึ่งสนับสนุนโดย HPE และความเชี่ยวชาญของ Microsoft และนำเสนอโซลูชันของบุคคลที่สาม

HPE ProLiant สำหรับ Microsoft Azure Stack ได้รับการออกแบบร่วมกันโดย HPE และ Microsoft เพื่อให้บริการแก่องค์กรธุรกิจต่าง ๆ และช่วยให้คู่ค้าซึ่งเป็นผู้ให้บริการง่ายในการพัฒนา บริหารจัดการ และได้รับประสบการณ์การรักษาความปลอดภัยที่สอดคล้องกับบริการ Azure public cloud service ที่สามารถดำเนินการภายในองค์กรได้ HPE ProLiant สำหรับ Microsoft Azure Stack ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถพัฒนาแอพพลิเคชันต่าง ๆ ได้อย่างทันสมัย ปรับใช้แอพพลิเคชันได้อย่างเหมาะสม สามารถตอบสนองความต้องการเรื่องอธิปไตยของข้อมูล (data sovereignty) การรักษาความปลอดภัย (security) และการปฏิบัติตามข้อกำหนด (compliance requirement) รวมทั้งบรรลุผลการปฏิบัติงานที่เหนือกว่าจากโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กร

HPE ProLiant เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ Azure Stack ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมี RAM 768GB และความเร็วหน่วยความจำ 2400MHz แบนด์วิดท์ของหน่วยความจำได้เพิ่มถึง 28 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับโซลูชั่นคู่แข่งที่มีสามารถแบบเดียวกัน คุณสมบัตินี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเรียกใช้งานมากขึ้นด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้

นอกจากนี้ HPE ProLiant สำหรับ Microsoft Azure Stack ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งการใช้งานได้โดยมีทางเลือกดังนี้ :

- สามารถกำหนดค่าตั้งแต่ 4 ถึง 12 โหนด – สามารถเพิ่มได้ทีละครั้งกับบล็อกทั้งสี่ ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อขนาดของระบบเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าได้

- เพิ่มจำนวนโปรเซสเซอร์ที่เหมาะสมกับปริมาณงานที่เฉพาะเจาะจงได้

- ตัวเลือกหน่วยความจำ ตัวจัดเก็บข้อมูล และแร็ค รวมทั้งสวิทช์เครือข่ายองค์กรและตัวเลือกแหล่งจ่ายไฟ เพื่อให้สามารถรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น

ลูกค้ายังสามารถเข้าถึงระบบนิเวศของคู่ค้าที่กำลังเติบโต โซลูชันของบุคคลที่สาม และบริการต่าง ๆ ที่ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจโดยเฉพาะได้อีกด้วย โซลูชั่นและบริการใหม่ ๆ ของ HPE ProLiant สำหรับ Microsoft Azure Stack ซึ่งมาจาก Sogeti, NTT Communications, PwC และ Wipro ประกอบด้วย

- DXC Technology เทคโนโลยีบริการที่พร้อมใช้งานของ HPE ProLiant สำหรับ Microsoft Azure Stack ช่วยให้การทำงานตั้งแต่ต้นจนจบมีความราบรื่น และการจัดการสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดคลาวด์ด้วยโซลูชันที่ออกแบบมาสามารถรองรับแก่ลูกค้าในงานที่เฉพาะเจาะจง ตรงกับข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกับการใช้งานในแต่ละอุตสาหกรรม

- Veeam Software ซอฟต์แวร์ที่รวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของ HPE และ Azure Stack ช่วยให้ลูกค้าคล่องตัวเช่นเดียวกันกับระบบคลาวด์แบบสาธารณะ โดยใช้แพลตฟอร์มข้อมูลพร้อมใช้งานร่วมกัน ทำให้แน่ใจได้ว่าจะสามารถกู้คืนแอพพลิเคชันที่สำคัญได้อย่างรวดเร็ว สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจที่ข้อมูลและแอพพลิเคชันของพวกเขาได้รับการป้องกัน มีความปลอดภัยและพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา

“ลูกค้ากำลังมองหาการสร้างแอพพลิเคชันที่ทันสมัยบนระบบคลาวด์และสภาพแวดล้อมที่ใช้ภายในองค์กร ซึ่งตรงตามนโยบายและข้อบังคับต่าง ๆ ทางธุรกิจ” กล่าวโดย Mike Neil รองประธานบริษัททางด้านโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการระบบ  Azure ของ Microsoft Corp “การใช้งาน HPE ProLiant สำหรับ Microsoft Azure Stack ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อย่างแท้จริง แพลตฟอร์มไฮบริดที่มีประสิทธิภาพสูงจะช่วยเพิ่มความคล่องตัว เสริมสร้างนวัตกรรมและสามารถควบคุมต้นทุนด้วยการผสมผสานระบบคลาวด์ที่เหมาะสม และยังสามารถใช้ภายในองค์กรอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ”

ที่มา : https://news.hpe.com/