1726202978.png
1731393918.jpg
1730459076.jpg
1730782055.jpg
1730966771.jpg
รีวิว Dell Latitude 7400 2 in 1: โน้ตบุ๊คที่ช่วยในการทำงานของคุณ
รีวิว Dell Latitude 7400 2-in-1: โน้ตบุ๊คที่จะช่วยให้การทำงานของคุณราบรื่นตลอดวัน
โน้ตบุ๊คที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานให้เป็นได้ทั้งโน้ตบุ๊คและแท็บเล็ต (Convertible) ในเครื่องเดียว ที่พยายามผสานรวมคุณสมบัติการใช้งานเชิงธุรกิจให้เข้ากับการออกแบบในระดับConsumer อย่างลงตัว
ข้อดี
ด้วยหน้าจอที่ให้ทั้งสี (Colour) และภาพที่คมชัด (Contrast) มันจึงจัดว่าเป็นโน้ตบุ๊คแนว Convertibleที่ออกแบบมาได้ดีเลยทีเดียว ในส่วนของพอร์ตที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ก็ยังเป็นพอร์ตอเนกประสงค์ที่มากด้วยความสามารถนอกจากนี้มันยังมีการเข้าถึง แบบ Internal Access
ข้อเสีย
แม้ว่า CPU จะสามารถประมวลผลได้เร็วขึ้น แต่หน้าจอก็ดูเหมือนว่าจะยังสว่างไม่พอ ส่วนคีย์บอร์ดและ Trackpadคุณภาพก็ยังจัดว่าอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น
สรุป
หน้าจอและซีพียูยังไม่สามารถเติมเต็มศักยภาพของพวกเขาได้ในขณะนี้ แต่สำหรับการใช้งานอื่นๆ นั้น Latitude ก็ทำได้น่าประทับใจเลยทีเดียว ซึ่งส่งผลให้มันเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย และมันเองก็ยังดูดีมีสไตล์อีกด้วย
Latitude รุ่นล่าสุดของ Dell นั้น ดูยังไงก็ไม่เหมือนกับ Latitudeของ Dellในรุ่นที่ผ่านมา เพราะมันเป็นอุปกรณ์ที่ออกจะดูทันสมัยกว่าอุปกรณ์สายธุรกิจหลายๆ เครื่องที่เรารู้จักกัน ดังนั้นมันน่าจะเข้ากันได้ดีสำหรับห้องทำงานที่บ้านของคุณ หรือแม้แต่โต๊ะทำงานในห้องประชุม
เครื่อง Latitudeของ Dellไม่เพียงแต่จะดูดีเท่านั้น แต่พวกมันยังสามารถทำงานได้ดีอีกด้วย ด้วยราคา 1,639 ปอนด์ (ยังไม่รวม VAT) ดังนั้น เครื่องนี้จึงจัดได้ว่าเป็นเครื่องที่มีคุณภาพที่เหนือกว่าคู่แข่ง และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่า Dell รุ่นล่าสุดนั้นมีทั้งรูปแบบและฟังก์ชั่นการทำงานที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างไร
รีวิว Dell Latitude 7400 2-in-1: การออกแบบ
Latitude รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ประกอบด้วยวัสดุพรีเมียม ส่วนบอดี้ทำจากอะลูมิเนียม สีเงินแบบคลีนๆ โดยเน้นการออกแบบไปทางโทนสีเข้ม พื้นผิวส่วนใหญ่เคลือบและขัดเป็นลายเส้นของแปรง (Brushed) และขอบของตัวเครื่องที่ใช้กระบวนการ Precision-Milledเพื่อให้ได้รูปทรงที่คมชัดสวยงามมากยิ่งขึ้น และยังแต่งแต้มส่วนของฝาปิด (Lid) ด้วยโลโก้ขนาดเล็กของ Dell,ขอบจอ (Bezels)ที่บางและแป้นพิมพ์ที่ตอบสนองได้เร็ว นอกจากนี้คุณยังจะได้รับอุปกรณ์ที่ดูดีเทียบเท่ากับแล็ปท็อปที่ดูดีที่สุดอย่าง MacBook Pro ของ Appleและ XPS 13 ของ Dellอีกด้วย
การสร้างคุณภาพ (Build quality) ที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศ: แทบจะไม่มีอะไรที่เป็นโลหะอยู่รอบๆ แป้นพิมพ์เลย และหน้าจอก็ดูทนทาน ซึ่งจะช่วยป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี บานพับที่มีความทนทานและเป็นรุ่นที่ปรับพับหน้าจอได้360 องศา และทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปิดฝาด้านบนของตัวเครื่องด้วยปลายนิ้วจากมือเพียงข้างเดียว เพราะฐานด้านล่างอาจจะยกตัวขึ้นไปด้วย แต่ปัญหาดังกล่าวพบว่ามีการร้องเรียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งโดยรวมแล้วรูปร่างของมันก็จัดว่าดีพอๆ กับ XPS 13 แต่ก็อาจจะต่างจากเครื่องระดับชั้นนำอย่างMacBook อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย นั่นก็คือด้านล่างของตัวเครื่อง (Underside) เพราะดูเหมือนว่าโลหะสามารถยุบตัวลงไปได้อีก2-3 มิลลิเมตร ซึ่งเราเกรงว่ามันจะสัมผัสกับส่วนประกอบภายใน
ไม่น่าแปลกใจเลยที่Latitude จะสามารถเทียบกับคู่แข่งของมันได้ในเรื่องของการออกแบบ เพราะ XPS ที่จัดว่าเทียบเท่านั้น มีราคาเพียง 1,149ปอนด์ ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (exc VAT)และ MacBook ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันนั้นก็ยังมีราคาอยู่ที่ 1,475ปอนด์ (ยังไม่รวมVAT) สรุปแล้วก็คือ Latitudeมีราคาที่แพงกว่าทั้งสองเครื่องที่กล่าวมาข้างต้น
โน้ตบุ๊คประเภทUltraportable ซึ่งเป็นโน้ตบุ๊คขนาดกะทัดรัดที่มาพร้อมกับความเบาบางและน้ำหนักที่สะดวกในการพกพา ส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงภายใน (Internal) ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ Latitudeนั้นทำได้ เนื่องจากสกรูมาตรฐานของ Phillips จำนวน 10 ตัว ที่ยึดฐานและอยู่เยื้องๆ กับบานพับแต่ละอันจะช่วยให้แผงควบคุม (Panel)ถูกเปิดออกได้ง่าย แม้ว่าองค์ประกอบ (Components)ส่วนใหญ่จะสามารถเข้าถึงได้ แต่ก็ไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับการอัพเกรด และหน่วยความจำ (Ram) ก็ยังถูกบัดกรีติดอยู่บนแผงวงจร (Soldered down)
เครื่องของ Dellนั้นมีน้ำหนักประมาณ1.3 กิโลกรัม และความหนาชองตัวเครื่องที่ 14.9 มิลลิเมตร ซึ่งจัดว่าเป็นขนาดที่น่าประทับใจเลยทีเดียวสำหรับโน้ตบุ๊คประเภทConvertible อย่างไรก็ตามคู่แข่งของมันที่เป็นแล็ปท็อปแบบธรรมดาทั่วไป (Conventional)ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก โดยในส่วนของ Dell XPS 13 นั้น พบว่ามีความหนาเพียง 11.6 มิลลิเมตร และยังมีน้ำหนักที่ 1.23กิโลกรัม เท่านั้น ขณะที่ MacBook Pro มีความหนาที่ 14.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักที่1.37 กิโลกรัม
Dell ช่วยให้การนำเสนอCredential ของบริษัทมีความยืดหยุ่นด้วยการเชื่อมต่อที่ดี โดยทางด้านซ้ายมือคุณจะพบว่ามีพอร์ตThunderbolt 3จำนวนสองพอร์ต ที่ใช้สำหรับเป็น DisplayPort และสำหรับชาร์จ ส่วนข้างๆ กันนั้นก็ยังมีช่องเสียบUSB 3.1ที่ใช้สำหรับการชาร์จแบบ PD (Power Delivery) และ HDMI Output และทางด้านขวามือนั้นก็ยังมีพอร์ต USB แบบ Full-size, ช่องเสียบสำหรับ microSD,ถาดใส่ซิมการ์ด, Audio Jack และช่องสำหรับ Kensington Lock สำหรับล็อคอุปกรณ์
นอกจากนี้เว็บแคมของDell Latitude 7400 2-in-1 ก็ยังมีฟีเจอร์ Express Sign-Inที่เป็นการรวมความสามารถในการจดจำใบหน้าของเว็บแคมเข้าด้วยกันกับเซ็นเซอร์ชนิดที่ใช้เพื่อการตรวจจับวัตถุโดยปราศจากการสัมผัส (Proximity Sensor) เพื่อล็อคแล็ปท็อปโดยอัตโนมัติเมื่อคุณลุกออกจากหน้าจอ และจะทำการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคเมื่อคุณกลับมา จากการทดสอบเราพบว่ามันสามารถทำงานได้ดี อย่างไรก็ตาม เราสังเกตเห็นว่ามันมีบางอย่างหายไปจากLatitude ที่บอบบางเครื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอร์ต Gigabit Ethernet นอกจากนี้มันยังไม่มีเซ็นเซอร์ตรวจสอบลายนิ้วมือ (Fingerprint Reader) ตรงปุ่มเปิด-ปิด ยกเว้นแต่ว่าคุณยินดีที่จะจ่ายเพิ่ม ส่วนภายในนั้น เป็นการเชื่อมต่อด้วย WiFi 802.11 ในรูปแบบ AC ที่มีคลื่นความถี่แบบDual-band และ Bluetooth 5.0
รีวิว Dell Latitude 7400 2-in-1 : คีย์บอร์ด& แทร็กแพด
ทั้งคีย์บอร์ด (Keyboard) และแทร็กแพด (Trackpad) ของ Dell นั้นใช้งานได้ดี แต่ก็ยังไม่ถือว่าดีเป็นพิเศษ นอกจากนี้คีย์บอร์ดก็ยังไม่มี NumberPad แต่แผนผังการจัดวางของมันก็ยังถือว่าสมเหตุสมผล นั่นเป็นเพราะว่าคุณยังจะได้รับปุ่ม "Return" ที่มีความสูงเป็นสองเท่า พร้อมทั้งแถบเลื่อนเคอร์เซอร์ขนาดใหญ่ และตัวเลือกอื่นๆ ที่เหมาะสมในแถวของ Functionดังนั้นปุ่มเหล่านี้จึงเหมาะที่จะใช้กับงานพิมพ์ทั่วๆ ไป ทั้งในส่วนของปุ่มลัดที่จะช่วยให้การเข้าถึงโปรแกรมทำได้ง่ายและเร็วขึ้น พวกมันยังพิมพ์ได้เงียบและมีฐานที่มั่นคง ซึ่งแต่ละปุ่มยังถูกออกแบบมาให้มีความเว้าเล็กน้อยเพื่อรับกับนิ้วมือ ซึ่งจะช่วยให้คุณพิมพ์ได้เร็วและสะดวกสบายโดยที่ไม่ต้องออกแรงกดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปุ่มกดต่างๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา เพราะด้วยขนาดของปุ่มกดที่ไม่ใหญ่มากนัก และขอบของมันที่มีความโค้งอยู่เล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าปุ่มแต่ละปุ่มอาจจะเล็กเกินไปสำหรับใครบางคน หรือผู้ใช้หลายๆ คนก็อาจจะคุ้นเคยกับปุ่มที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่สำหรับนักพิมพ์มืออาชีพที่มีปลายนิ้วขนาดใหญ่อาจจะรู้สึกได้ว่าLatitude เองก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกสะดวกสบายไปหมดทุกอย่าง ในส่วนของไฟที่ส่องหลังแป้นพิมพ์ (Backlight) ก็เช่นกัน เพราะมันมีระดับความสว่างเพียงแค่ 2 ระดับเท่านั้น และดูเหมือนว่าแสงไฟที่อยู่รอบๆ ปุ่มก็ยังไม่สม่ำเสมอ
ทัชแพด (Touchpad)ที่มีพื้นผิวเป็นกระจก (Glass) ขนาดใหญ่และเรียบเนียน มาพร้อมกับสัมผัสที่แม่นยำและการคลิกที่จะทำให้คุณรู้สึกพอใจ แต่มันไม่มีปุ่มแบบแยก (Discrete Buttons) สำหรับใช้คลิกซ้าย - ขวา เพราะพวกมันถูกสร้างขึ้นที่ด้านล่างของ Pad อย่างไรก็ตามปุ่มนี้สามารถใช้งานได้ดี แต่พวกมันเป็นปุ่มที่อยู่ในระดับที่ลึกเกินไป ดังนั้นปลายนิ้วของคุณอาจจะเลยเข้าไปในส่วนขอบของ Pad บ้างเล็กบ้างขณะที่ใช้งาน
รีวิว Dell Latitude 7400 2-in-1: จอแสดงผล
Dell มาพร้อมกับหน้าจอIPS ขนาด 14นิ้ว ซึ่งการตัดสินใจในการออกแบบและยังรวมถึงการออกแบบให้บานพับสามารถพับลงได้360 องศานั้นก็เพื่อให้กรอบทั้ง4 ด้านของแผงหน้าปัด (Panel) มีขอบของหน้าจอที่เพรียวบางและดูกว้างขึ้น นอกจากนี้มันยังเป็นอุปกรณ์ที่สามารถรองรับระบบ Multi Touch ได้ที่เดียวพร้อมกันถึง10 จุด และยังมาพร้อมกับ Gorilla Glass 5 ที่ใช้งานได้กับปากกาสไตลัสของ Dellแม้ว่าพวกมันจะมีขายแยกต่างหาก
แผงหน้าจอ (Panel)ที่มีความละเอียด 1080p นั่นก็หมายความว่ามันมีระดับความหนาแน่นของพิกเซลที่157 PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) ซึ่งจัดว่าดีพอสำหรับการใช้งานประจำวัน แม้ว่ามันจะไม่ได้ให้ความคมชัดเท่ากับหน้าจอที่มีความละเอียด 2560 x 1600 pixel ของ MacBookก็ตาม นอกจากนี้ Latitude ของ Dell ก็ยังไม่มีตัวเลือก4K ให้ใช้ แต่ที่จะต้องจ่ายเพิ่มเติมนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นในส่วนของการลดปริมาณการใช้งานของแบตเตอรี่และการให้ผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัดอีกสองสามอย่าง ดังนั้นมันจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
ส่วนในเรื่องของความแม่นยำของสีDell ก็ทำออกมาได้น่าประทับใจเช่นกัน จาก ColorChecker และ Greyscale DeltaE ที่มีค่าเฉลี่ยที่ 2.1และ 3.4ตามลำดับ, สำหรับค่า Delta E เฉลี่ยที่ 0.8นั้นจัดว่าน่าทึ่งมาก เพราะมันน่าประทับใจพอๆ กับจอแสดงผลระดับมืออาชีพในหลายๆ แบรนด์ และที่ 2.44ซึ่งเป็นค่าสูงสุดของ Delta E นั้น ก็แทบจะไม่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนสำคัญสำหรับคนทั่วไป โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้สนใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เพราะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สรุปสั้นๆ ก็คือ สีที่ปรากฏบนแผงหน้าจอ (Panel)ของรุ่นนี้จัดมีความแม่นยำของสีที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบนั่นเอง
อุณหภูมิสี (Color Temperature) ที่ 6,196K จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ด้วยโทนแสงที่อบอุ่น (Warm) เล็กน้อย แต่ด้วยค่าที่ยังไม่ถึง6,500K จึงทำให้สีของหน้าจอดูผิดเพี้ยน (Inaccurate) ขณะที่ Dell สามารถแสดงช่วงสีได้ถึง 99.5%ของสีที่มองเห็นได้ตาม Standard RGB และ 70.6%ของสีที่มองเห็นได้จริงสำหรับ Adobe RGB ซึ่งก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวสำหรับแล็ปท็อปที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่องานภาพถ่ายและงานออกแบบโดยเฉพาะ และยังหมายความว่า Panel ของ Latitude จะแสดงเฉดสีต่างๆ ได้เท่าที่คุณต้องการ
สำหรับระดับความคมชัดที่1,775:1 นั้น ก็จัดว่าทำได้ดีเช่นกัน และมันก็ยังเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เราเคยเห็น และยังเสริมโดยจุดดำ (Black Point) ที่ค่าความสว่าง0.12 cd/m2 ซึ่งจะเห็นว่า Dell มอบเฉดสีดำที่เข้มได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ทุกเฉดสีดูชัดเจน สดใสมีชีวิตชีวา และที่น่าประทับยิ่งไปกว่านั้นก็คือ Latitudeมีค่า Delta E และ sRGBในระดับที่ดีกว่าXPS 13 และยังให้ความคมชัดมากกว่า MacBook อีกด้วย
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จัดว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียวสำหรับDell Latitude 74002-in-1แต่ปัญหาหลักที่สำคัญของ Dellอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ ความสว่าง (Brightness) เพราะความสว่างสูงสุดของ Panel นั้นอยู่ที่ 213cd/m2ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับการทำงานในออฟฟิศ เพราะว่าในที่ที่มีความแรงของแบ็คไลท์เพียงพอหน้าจอก็สามารถที่จะมองเห็นได้ปกติ แต่เมื่อลองใช้ Dell ภายนอกตัวอาคารก็พบว่าความสว่างของมันไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกอบกับพื้นผิวที่มันวาวของ Panel
รีวิว Dell Latitude 7400 2-in-1: ฮาร์ดแวร์และประสิทธิภาพการทำงาน
Latitude ระดับเริ่มต้น (Entry-Level) รุ่นนี้ ขับเคลื่อนการทำงานด้วยโปรเซสเซอร์ Core i5-8265U มันเป็น Chip ยอดนิยมที่มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์Whisky Lake-U ใหม่ของ Intel ที่มี 4 Coreพร้อมด้วยการทำงานแบบ Hyper-Threading แต่กลับเป็น CPU ที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งหมายความว่ามันมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาพื้นฐานที่ 1.6GHzและมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาTurbo Boost ที่ 3.7GHz และ 3.90 GHz สำหรับการทำงานในแบบ All-core และ Single-core ตามลำดับ อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างความเร็วเหล่านี้ เป็นผลมาจากตัวเร่งความเร็วที่เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Intel ที่เรียกว่า Thermal Velocity Boost (TVB) ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับโปรเซสเซอร์ โดยการหาโอกาสปรับเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาให้สูงกว่าความถี่ของเทคโนโลยี Turbo Boost ซึ่งเป็นความสามารถที่ขึ้นอยู่กับความร้อนของChip ดังนั้นมันจึงถูกออกแบบมาเพื่อทำให้Chip มีปฏิกิริยามากขึ้น และเพื่อที่จะทำให้แล็ปท็อปตอบสนองได้ดีขึ้นนั่นเอง
CPU ได้รับการจับคู่กับหน่วยความจำLPDDR3 ขนาด 8GB นั่นเป็นขนาดของหน่วยความจำขั้นต่ำที่เราคาดหวังไว้สำหรับปริมาณงาน (Workloads) ในแต่ละวัน แต่ก็ยังดีใจที่รูปแบบการติดตั้งของมันถูกกำหนดให้เป็นแบบ Dual-Channelสำหรับแบรนด์อื่นๆ นั้น จะมี Toshiba SSD ขนาด 256GB และกราฟิกการ์ดแบบ iGPU (integrated GPU) ของ Intel โดยตัวของ Latitudeเองนั้นจะไม่มีช่องว่างให้สำหรับกราฟิกการ์ดแบบแยก (Discrete Graphic) ดั้งนั้นมันจึงสามารถจัดการกับงานภาพถ่ายขั้นพื้นฐานได้เพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คุณยังจะได้รับชิป TPM 2.0 (Trusted Platform Module 2.0) ที่จะมาช่วยเสริมระบบความปลอดภัย โดยจะเข้ามาช่วยในเรื่องการเก็บรักษาคีย์ที่ใช้เข้ารหัสข้อมูล ดังนั้น เมื่อคีย์ถูกเก็บไว้ในฮาร์ดแวร์ จึงส่งผลให้อุปกรณ์โดนเจาะได้ยากขึ้น จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้เราจะเห็นได้ว่ามันมีคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับงานทั่วไป แต่ก็คงไม่สามารถเทียบเท่ากับXPS 13 หรือ MacBook เนื่องจากคะแนนมาตรฐาน (Benchmark) โดยรวมของมันที่ทำได้เพียง 89 คะแนนเท่านั้น
สำหรับ Dell XPS 13 และ Apple MacBook Pro ที่เราได้ทำการตรวจสอบรวมทั้งรุ่นล่าสุดนั้น ต่างก็ประกอบไปด้วยด้วย CPU Core i7 รุ่นกินประหยัดพลังงาน (Low Power) ที่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ต่างไปจาก CPU ของ Latitude มากนัก เนื่องจากพวกมันมีจำนวน Coreที่เท่ากัน และอาจจะทำความเร็วได้ดีกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม XPS 13 และ MacBook ก็ยังสามารถทำคะแนนได้มากถึง 96 คะแนน และ 150 คะแนน ตามลำดับ ซึ่งในปัจจุบัน XPS ก็ได้รับการปรับปรุงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยซีพียู Whisky Lake-U ในแบบของตัวเอง
จากการรันโปรแกรมทดสอบCinebench ในรูปแบบที่มีความซับซ้อนและผลักดันการทำงานของ CPU ให้ถึงขีดสุดด้วย Coreที่มีทั้งหมดของมัน เราพบว่าความเร็วจะลดลงไปจนถึงประมาณ 2.5GHz และในบางครั้งก็พบว่าต่ำกว่านั้น และนี่ก็คือช่วงสั้นๆ ของการเร่งความเร็วให้กับการทำงานในแบบ All Core ของช่วง Turbo Boost ซึ่งจะอยู่ที่ 3.7GHzและเป็นไปได้ที่มันจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพสำหรับงานที่ยากขึ้นและการทำงานที่ต้องใช้CPU จำนวนมาก (CPU-Intensive)
จากการทดสอบ CPU Stress-Test ซึ่งเป็นการทดสอบโดยเพิ่มความกดดันหรือเพิ่มงานให้กับCPU ด้วยการผลักดันการทำงานของCPU ให้อยู่ในโหมดที่ทำงานแบบ100% เต็ม และปรับให้เครื่องอยู่ในโหมด Optimized mode เป็นค่าเริ่มต้น พบว่า CPU จะเร่งความเร็วเป็น2.2GHz ในขณะที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นถึง 93°Cจากนั้นเครื่องจะเปลี่ยนเป็นโหมด Cool โดยอัตโนมัติ ซึ่งทำให้ความเร็วสัญญาณนาฬิกา (Clock Speed) ลดลงไปที่ 1.9GHzและอุณหภูมิก็จะลดลงจนเหลือ89°C ในกรณีที่มีการเปิดใช้งานโหมดUltra Performance ของ Dell แบบ Manualจะเห็นได้ว่าความเร็วจะฟื้นตัวกลับมาเป็นที่2.1GHz และเราจะเห็นว่าจากการทดสอบ CPU Stress-Testของ Latitudeโดยปกรติแล้วจะเงียบ และอาจจะมีเสียงรบกวนที่เกิดจากพัดลมเพียงเล็กน้อยในโหมด Ultra Performance ซึ่งปัญหาทุกอย่างสามารถจัดการได้โดยง่าย รวมถึงฐานของตัวเครื่องที่อุ่นขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับร้อนจนเกินไป
ขณะที่รันการทดสอบStress-Test แบบเต็มระบบ ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย ในส่วนของ Optimized mode ของ Latitudeเราพบว่าอุณหภูมิกลับไปที่93°C และ CPU เองก็ทำงานได้ที่ความเร็วประมาณ 1.7GHzด้วยความเร็วคงที่ในโหมดUltra Performance ความเร็วของพัดลมที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทำให้อุณหภูมิลดลงไปที่ 84°Cซึ่งเป็นระดับอุณหภูมิที่สามารถจัดการได้มากขึ้น สบายใจได้กับเสียงพัดลมที่ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง การทดสอบแบบ Full System ทำให้เห็นว่าด้านนอกนั้นร้อนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด้านซ้ายของคีย์บอร์ดและที่ฐานของตัวเครื่อง ในกรณีที่ใช้งานบนตักเพียงไม่กี่นาทีก็อาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดได้
อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับPerformance Mode หากคุณกำลังใช้ CPU เพียงอย่างเดียว หรือในกรณีที่ต้องทำงานร่วมกับGPU ก็เช่นกัน เพราะถ้าคุณพยายามทำอะไรที่หนักหน่วงในสภาพดังกล่าว คุณก็จะไม่ได้รับพลังเต็มที่จาก CPU โดยเฉพาะ MacBook Pro นั้น ที่สามารถทำงานได้ดีกว่าในการใช้ประโยชน์จากความสามารถของCPU แบบเต็มที่ และด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับการทำงานที่หนักขึ้น
Dell ได้เลือกติดตั้งแบตเตอรี่52Wh ให้กับ Latitudeซึ่งมีขนาดพอๆ กับ XPS 13แต่ก็ยังตามหลัง MacBook อยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตามความละเอียดของภาพที่ 1080p และการจัดการกับพลังงานของ CPU ที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นนั้น ช่วยให้ Latitudeมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า (Longevity) คู่แข่งทั้งสองรุ่น โดยจากการทดสอบของเรานั้นพบว่า Dellใช้งานได้ยาวนานถึง16 ชั่วโมง 9 นาที ซึ่งมากกว่าอายุการใช้งานของ XPS ถึง 10 ชั่วโมง และมากกว่าอายุการใช้งานของMacBookถึง 8 ชั่วโมง
ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมนี้ มีความหมายว่า Latitude จะช่วยให้คุณผ่านพ้นวันทำงานไปได้ด้วยดี จนกระทั่งเดินทางกลับถึงบ้าน อย่างไรก็ตามควรตระหนักไว้เสมอว่า การมี CPU Core i7, การใช้ซอฟต์แวร์กับงานที่หนักขึ้น หรือแม้กระทั่งการรันหน้าจอที่มีความสว่างยิ่งขึ้น จะเป็นการลดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ดังนั้นการที่จะให้ Latitude เรียกใช้งานจำนวนมากในระบบเครือข่าย ในการเปรียบเทียบสมรรถนะ (Benchmark)ของเรา เราจึงเลือกที่จะใช้โหมดการบิน (Flight Mode)
รีวิว Dell Latitude 7400 2-in-1: โมเดลอื่นๆ ที่ต่างออกไปจากที่เราตรวจสอบ
รุ่นที่เราตรวจสอบนั้นเป็นLatitude รุ่นที่ถูกที่สุดที่มีวางจำหน่าย โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,639ปอนด์ ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (exc VAT) นอกจากนี้ Latitudeทุกตัวก็ยังคงใช้โปรเซสเซอร์Core i5 หรือ Core i7 และ NVMe SSD ทั้งยังไม่มีตัวเลือกสำหรับฮาร์ดดิสก์สำรอง ซึ่งมันก็เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็ว แต่มันอาจจะทำประโยชน์ได้น้อยกว่า ในกรณีที่คุณต้องการพื้นที่ในการจัดเก็บไฟล์จำนวนมาก
ถ้าหากว่าคุณชอบโมเดลตัวที่เราได้ทำการตรวจสอบไปแล้ว แต่ก็ต้องการเพิ่มในส่วนของ Intel vPro เข้าไปด้วย ก็เป็นไปได้ที่คุณจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 20ปอนด์ (ยังไม่รวม VAT)เพื่อให้เข้ากันได้พอดีกับCPU ที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนต่อไป ถ้าคุณต้องการโมเดลที่มีพื้นที่ SSD เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อให้มีขนาด 512GBราคาก็จะอยู่ที่1,729ปอนด์ (ยังไม่รวม VAT) ส่วนเวอร์ชั่นที่มีราคา1,749ปอนด์(ยังไม่รวม VAT)จะเป็นโมเดลที่ยังคงพื้นที่ของSSD ไว้ที่ 256GBแต่จะเพิ่มหน่วยความจำเป็น16GB แทน ส่วน Latitudeในเวอร์ชั่นที่แพงที่สุดนั้น จะมีราคาอยู่ที่ 1,949 ปอนด์ และยังเป็นเพียงรุ่นเดียวที่มาพร้อมกับ CPU Core i7 นอกจากนี้ก็ยังมีรุ่นที่มาพร้อมกับSSD ความจุ 256GB,หน่วยความจำขนาด16GB และแพลตฟอร์ม Intel vPro ด้วยเช่นกัน
สำหรับองค์ประกอบหลัก (Components) ของ Latitudeนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลจำเพาะอื่นๆ นั้นสามารถเพิ่มเติมได้ ถ้าหากคุณต้องการบริการบรอดแบนด์คลื่อนที่ (Mobile Broadband) ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 138ปอนด์ (ยังไม่รวม VAT)และถ้าต้องการเพิ่มในส่วนของ Fingerprint Reader เพื่อตรวจสอบลายนิ้วมือ ก็จะต้องเพิ่มเงินอีก 22ปอนด์ (ยังไม่รวม VAT) การเพิ่มเทคโนโลยี NFC เพื่อการเชื่อมต่อที่สร้างความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ก็ยังทำได้ด้วยเงินจำนวน 29ปอนด์ (ยังไม่รวม VAT)นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มเครื่องอ่านสมาร์ทการ์ด (Smart Card Readers) ได้อีกด้วย มันเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ที่เครื่องอ่านลายนิ้วมือก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพราะสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นคุณสมบัติทั่วไปของแล็ปท็อปสายธุรกิจระดับ High-endในปัจจุบัน ซึ่งคู่แข่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนนี้แต่อย่างใด
รีวิว Dell Latitude 7400 2-in-1: สรุป
Dell รุ่นใหม่ล่าสุดแต่นำเอาชื่อเดิมทางธุรกิจมาใช้ โดยการทำให้มันดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น และเครื่องใหม่ที่ว่านี้ก็ดูยอดเยี่ยม น่าสนใจ เหมาะที่จะเป็นอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคและองค์กรได้ดีที่สุด นอกจากนี้มันยังมาพร้อมกับตัวเครื่องที่บางเบาและทนทาน พร้อมด้วยกลไกการใช้งานแบบ (Convertible) ที่ทำงานได้ดี
อย่างไรก็ตาม มันยังเป็นเครื่องที่ใช้งานได้จริงในทางปฏิบัติมากกว่า XPS 13 และ MacBookเพราะความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน (Convertible) รวมถึงการเชื่อมต่อที่ดีกว่า พร้อมทั้งการเข้าถึงภายใน (Internal Access) ที่สามารถทำได้โดยง่าย ในส่วนของแบตเตอรี่นั้นก็ทำได้ดีเช่นกันเพราะดีกว่าคู่แข่งทั้งสองรุ่น สำหรับภายใน (Inside) นั้น หน้าจอที่มีทั้งสีและคอนทราสต์ที่ดีจนน่าประหลาดใจ แม้ว่ามันจะสว่างไม่พอสำหรับการใช้งานกลางแจ้งก็ตาม นอกจากนี้ส่วนประกอบต่างๆ (Components)ของมันก็ยังดีพอสำหรับงานหลัก (Mainstream Work) โดยทั่วไป แม้ว่าปัญหาเรื่องความร้อนจะขัดขวางไม่ให้พวกมันบรรลุศักยภาพอย่างเต็มที่ก็ตาม
แม้จะรู้สึกผิดหวังบ้างเล็กน้อยสำหรับประสิทธิภาพของซีพียู, จอแสดงผลที่มีแสงสลัว ๆ (Dim Screen) แบบพอมองเห็นได้ รวมถึงคีย์บอร์ดและแทร็กแพดที่อยู่ในระดับปานกลาง ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Latitudeไม่เหมาะสำหรับการทำงานหนัก (Tougher Work) แต่ถ้าหากนั่นคือสิ่งที่คุณต้องการแล้วล่ะก็ ให้ลองพิจารณา MacBook Pro จะดีกว่า อย่างไรก็ตามหากคุณต้องการขับเคลื่อนการทำงานในแต่ละวันให้ผ่านพ้นไปด้วยดี พร้อมด้วยหน้าจอแบบสัมผัส (Touchscreen) ที่ยอดเยี่ยม, ความสามารถรอบด้านที่หลากหลาย และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน (Convertible) ที่ทำออกมาได้ดีมากเราขอแนะนำDell Latitude 7400 2-in-1
ดูสินค้าเพิ่มเติม : https://bit.ly/2pxxBb6