เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นแล็ปท็อปที่ดีที่สุดในโลก
เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ; ดูบอบบางกว่าที่เคย; เป็นการออกแบบที่งดงาม
ไม่มี USB แบบ Full-size; โทนสีขาวที่ดูประหลาด; การวางตำแหน่งของปุ่มบางอย่างทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้งาน
มันอาจจะไม่ได้ดูโดดเด่นเทียบเท่ากับ MacBook Pro รุ่นล่าสุด แต่ด้วยขนาดที่บางเฉียบและการออกแบบที่ยอดเยี่ยมของ Dell XPS13 ก็น่าจะมีพลังพอที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ซึ่งก็หมายความว่า มันยังคงเป็นหนึ่งในแล็ปท็อปที่ดีที่สุด เท่าที่เราเคยพบมา
Dell มีชื่อเสียงค่อนข้างดี เมื่อพูดถึงโน๊ตบุ๊ค (Notebooks) และบ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นโน๊ตบุ๊คของ Dell ปรากฏอยู่ข้างๆ เพื่อนร่วมวงการที่มีราคาสูงกว่าอย่าง MacBook Pro ที่เดิมพันกันด้วยเรื่องของการออกแบบ รวมถึงระดับของผลิตภาพ (Productivity) และประสิทธิภาพ (Performance) ในตัวของพวกมันเอง
โดยรุ่นต่างๆ ของ Dell ไม่ว่าจะเป็น Latitude, Vostro และ Optiplex ต่างก็แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและการสร้างคุณภาพที่ยังคงสามารถอยู่เคียงข้างกับความน่าเชื่อถือ ในขณะที่ Dell ก็มีธุรกิจโน๊ตบุ๊คระดับโลกที่น่าจับตามองและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
แน่นอนว่า XPS 13 จะพลาดไม่ได้เลยกับรางวัลต่างๆ เหล่านี้ รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ของเราสำหรับโน๊ตบุ๊กระดับองค์กร ที่สามารถเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์กับทั้งหมวดหมู่ของผู้บริโภคและหมวดหมู่ของธุรกิจ และในเวอร์ชันล่าสุด Dell ก็จะไม่หยุดในเรื่องนี้ เช่นกัน
XPS 13 ของปี 2017 ถึงคราวที่ต้องสละตำแหน่งในฐานะผู้นำโน๊ตบุ๊ค และด้วยการออกแบบที่ได้รับการปรับปรุงเล็กน้อย รวมถึงโปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การอัพเดตของรุ่นปี 2018 ทำให้เราพอใจกับหลายๆ อย่างมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะต้องต่อสู้กับ MacBook Pro ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งแน่นอนว่า Touch Bar-toting , ความบางเฉียบและน้ำหนักที่เบาเป็นพิเศษของ Apple อาจจะเป็นภาพลักษณ์และความรู้สึก (look and feel) ที่คุณสัมผัสได้จาก MacBook Pros ในส่วนนี้ แต่สำหรับ XPS 13 แล้ว มันจัดได้ว่าเป็นแพ็คเกจที่สมบูรณ์กว่า
ด้วยการออกแบบที่บางเบาและเรียบง่ายของ Dell อาจทำให้รุ่นที่ดีที่สุดของ Apple ต้องรู้สึกถึงความน่ากลัวของคู่ต่อสู้ได้อย่างแน่นอน และถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่เป็นที่ต้องการในฐานะสิ่งที่ดีที่สุดของคูเปอร์ติโน แต่สำหรับองค์กร หรือแผนกที่ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ คุณควรตรวจสอบ XPS 13 อย่างละเอียด เพราะ Apple มีทางเลือกอื่นที่นอกเหนือจาก Windows
ลองเจาะให้ลึกลงไปอีกหน่อย แล้วมาดูกันว่าทำไมนี่จึงเป็นโน๊ตบุ๊กที่มีประสิทธิภาพสูงของ Dell
การออกแบบของ XPS 13 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ยังคงไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก และนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก - เพราะมันถูกจัดให้เป็นหนึ่งในโน๊ตบุ๊กที่ดูดีที่สุด และ Dell ก็ฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับมัน
ก่อนหน้านี้ ตัวเครื่องจะทำจากวัสดุที่เป็นอลูมิเนียมซึ่งผ่านกระบวนการเคลือบผิว (Anodized Aluminum) เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและให้น้ำหนักที่เบา ส่วนที่มุมของตัวเครื่องจะมีลักษณะโค้งมน ซึ่งโดยรวมแล้วทำให้เรียบหรูและดูทันสมัย ในขณะที่ ด้านในของตัวเครื่องบริเวณพื้นที่โดยรอบคีย์บอร์ด จะเคลือบด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ (Carbon Fibre) ที่เป็นซิกเนเจอร์ของสายผลิตภัณฑ์ XPS เพื่อให้สัมผัสที่แตกต่างจากวัสดุทั่วๆ ไป แม้ว่าอันที่จริงแล้ว นี่เป็นรูปแบบการดีไซน์ที่ Dell ได้มีการปรับปรุงมาตั้งแต่ปี 2015 และยังมีการปรับปรุงย่อยหลายครั้ง ซึ่งมันก็ยังคงเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดูยอดเยี่ยมไม่แพ้ใคร ในตลอดช่วงระยะหลายปีที่ผ่านมา
การเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่จะส่งผลในเชิงบวก ยกตัวอย่างเช่น มันมีรูปร่างที่บางกว่าเดิม โดยวัดที่จุดที่กว้างที่สุด ได้ 11.6 มม. และมีน้ำหนักที่ 80 กรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักที่เบากว่าเดิม สำหรับการเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัด นั่นก็คือขนาดที่บางและน้ำหนักที่เบากว่า MacBook Pro ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของ Apple แม้ว่าจะมีการเสียสละบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ (ซึ่งเราจะขอกล่าวถึงในรายละเอียดเพิ่มเติมภายหลัง) นอกจากนี้ XPS 13 ยังได้รับการยกย่องในฐานะของโน๊ตบุ๊คประเภท Ultraportable ที่กวาดรางวัลชนะเลิศด้านผลิตภัณฑ์มากกว่าสายผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในประวัติศาสตร์ Dell อีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดในครั้งนี้ก็คือ สีใหม่ ซึ่งนอกเหนือจากสีดั้งเดิมที่เป็นสีเงิน-ดำ (ตัวเครื่องด้านนอกสีเงิน คีย์บอร์ดด้านในสีดำ) XPS 13 ใหม่ที่ว่านี้ ยังมีให้เลือกในรูปแบบของสีขาว-สีโรสโกลด์ (ตัวเครื่องด้านนอกสีโรสโกลด์-คีย์บอร์ดด้านในสีขาว) โทนสีนี้อาจจะดูไม่เข้ากัน และสีโรสโกลด์ก็ดูไม่มีรสนิยมเลยสักนิด ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่เมื่อมันรวมเข้ากับแป้นพิมพ์สีขาว ยิ่งทำให้ XPS 13 ดูราคาถูกและน่าเกลียด นอกจากนี้เรายังมีความกังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาด้านศักยภาพ จากการเปลี่ยนสีในครั้งนี้
ในส่วนของคีย์บอร์ด มันเป็นการออกแบบที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตา (Visual Design) ว่ามันก็ค่อนข้างที่จะคล้ายกับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งมันก็ยังคงใช้ปุ่มกดแบบ Chiclet ที่มาพร้อมปุ่มกดแบบ Backlit รวมทั้งความไวในการตอบสนองและแรงสะท้อนกลับ (Feedback) ก็ยังคงดีและลื่นไหล ไม่ต่างไปจากเดิม อย่างไรก็ตาม เราพบว่าเรากำลังค้นพบบางอย่างที่ทำให้มันต่างไปจากคีย์บอร์ดสไตล์ MacBook มากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการเว้นระยะห่างที่แทบจะไร้รอยต่อของพวกเขา
ยังมีอะไรที่มากกว่านั้น เพราะ Dell ยังคงทำให้ใครบางคนหงุดหงิด ด้วยการติดตัดตั้งปุ่มลูกศรซ้ายและขวาที่มีขนาดเพียงครึ่งเดียวของขนาดมาตรฐาน ลงไปในแป้นคีย์บอร์ดของ XPS13 โดยมีปุ่ม Page up และ Page down อยู่เหนือปุ่มดังกล่าว ซึ่งมันก็อยู่ในแนวเดียวกัน ในขณะที่เราปรบมือให้ความพยายามในการเพิ่มพื้นที่ของ Dell เราพบว่าตัวเองมักจะกดปุ่มผิดและข้ามไปยังแท็บเบราว์เซอร์ (Browser tab) หรือส่วนของเอกสารที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทำให้เกิดความรำคาญเป็นอย่างมาก
ส่วนของ Trackpad ทำให้เรารู้สึกประทับใจ ด้วยขนาดของตัวเครื่องที่เล็กกะทัดรัด นั่นก็หมายถึงขนาดที่จำกัดของ Trackpad ด้วยเช่นกัน แต่ Dell ก็สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้ดีไม่แพ้กัน แม้ว่าเราจะต้องการให้มันมีขนาดที่เพิ่มขึ้นกว่านี้อีกสักเล็กน้อย หนึ่งในความประทับใจที่มีมากเป็นพิเศษ นั่นก็คือฟังก์ชั่น Right-click ที่เรียกใช้งานฟังก์ชันโดยการคลิกที่มุมขวาล่างของ Touchpad ส่วนการคลิกซ้ายก็เพื่อเลือกคำสั่งหรือเลือกส่วนต่างๆ ในโปรแกรม นี่เป็นสิ่งที่จะช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้นจนทำให้รู้สึกประหลาดใจ และรับรองว่าการคลิกขวาโดยไม่ได้ตั้งใจจะลดลง
โดยทั่วไปเราจะพบได้ว่า จอแสดงผลที่ดีมักจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของแล็ปท็อปเครื่องใดก็ได้ และหน้าจอ (Screen) ก็เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของสายผลิตภัณฑ์ตระกูล XPS เสมอ รู้สึกขอบคุณที่จอแสดงผลแบบ Infinity Edge ที่มีขอบจอบางเฉียบ ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบใหม่ (Redesign) ล่าสุดในซีรีย์นี้ และด้วยขอบจอที่บางเฉียบนี้ ส่งผลให้หน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว ใหญ่กว่าความเป็นจริงขึ้นมาในทันที รวมทั้งยังสร้างประสบการณ์การรับชมที่น่าประทับใจตามที่เราได้คาดไว้
รุ่นตรวจสอบของเรามาพร้อมกับหน้าจอ 1080p IPS นอกจากนี้ยังมีรุ่นหน้าจอระบบสัมผัส (Touchscreen) ความละเอียดสูงระดับ 4K ให้เลือกอีกด้วย เราคิดว่าคุณน่าจะคุ้ยเคยกับจอแสดงผล 1080p มากกว่า แม้ว่ามันจะไม่ใช่หน้าจอระบบสัมผัสก็ตาม แน่นอนว่าหน้าจอที่มีความละเอียด 4K นั้น มันอาจจะดูละเอียดคมชัดบนหน้าจอขนาดใหญ่ แต่ด้วยขนาดหน้าจอของ Dell XPS 13 แล้ว มันแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่างอะไรเลย และจากการที่จะต้องใช้แบตเตอรี่ที่มีความอึดนั้นก็จะส่งผลให้คุณต้องจ่ายในราคาที่สูงขึ้น
Dell อ้างว่าหน้าจอของรุ่น XPS 13 ประสบความสำเร็จในการแสดงสีได้ครอบคลุมตามมาตรฐาน 100% sRGB Colour Spectrum แต่เราสงสัยว่า ตัวเลขนี้ใช้อาจจะใช้ได้เฉพาะกับรุ่นที่มีหน้าจอแบบ 4K เท่านั้น เนื่องจาก การทดสอบของเราแสดงให้เห็นถึง อัตราความครอบคลุมขอบเขตสีที่ระดับ 90% sRGB เท่านั้น คุณลองคิดดูให้ดี นั่นยังคงเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม และแน่นอนว่ามันเป็นคำตอบที่สมเหตุสมผล ซึ่งเราได้เห็น Coverage ของ sRGB ที่น่าประทับใจมากขึ้นจากเครื่องของคู่แข่งอย่าง MacBook Pro แต่มันก็ยังมีความน่าเชื่อถือมากกว่า และดีพอสำหรับงานออกแบบขั้นพื้นฐานและการเล่นวิดีโอ และอีกหนึ่งจุดก็คือค่าเฉลี่ย Delta E ที่วัดได้ 2.49 บ่งบอกว่า Monitor แสดงผลของสีได้ตรงและสม่ำเสมอ
ความสว่าง (Brightness) ก็ยังคงจัดว่าอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม และด้วยความสว่างสูงสุดที่ 454 cd/m² นั้น ก็จัดว่าสูงเกินพอที่จะสามารถทำงานกลางแจ้ง ในที่ที่มีแสงแดดจ้าได้โดยไม่มีปัญหา นอกจาก XPS รุ่นก่อนหน้านี้แล้ว ที่ผ่านมาหน้าจอก็ยังไม่มีการเคลือบด้วยสารป้องกันแสงสะท้อน (Anti-glare Coating) เพื่อลดการสะท้อนของแสงที่หน้าจอ แต่ก็มีรูปแบบของการป้องกันแสงสะท้อน (Anti-reflective) บางอย่างที่ถูกนำไปใช้กับมัน เราไม่พบปัญหาเรื่องความสามารถในการรับชมแม้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีแสงรุนแรง และเหมือนกับได้โบนัสเพิ่ม เพราะอาการสีเพี้ยนที่มีสาเหตุมาจากการเคลือบด้วยสารป้องกันแสงสะท้อนโดยทั่วๆ ไป กลับไม่มีผลกระทบกับมันไม่มากนัก
โดยปรกติแล้ว Dell ค่อนข้างที่จะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในรุ่นล่าสุด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ ที่ XPS รุ่นล่าสุดนั้นจะรองรับโปรเซสเซอร์รุ่นที่ 8 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของ Intel โดยโปรเซสเซอร์ดังกล่าวนี้มีอยู่ในรุ่น Core i5 และ Core i7 รวมทั้งรุ่นที่เราทำการตรวจสอบก็เป็นรุ่นที่ติดตั้งด้วย 1.8GHz quad-core Intel Core i7-8550U processor coupled ที่มาพร้อมกับแรม LPDDR32133MHz ขนาด 16GB
เท่าที่ผ่านมา เรารู้สึกประทับใจในประสิทธิภาพการทำงานของโปรเซสเซอร์รุ่นที่ 8 ของ Intel มาโดยตลอด แต่สำหรับประสิทธิภาพของ XPS13 นั้น ก็ไม่มีอะไรที่ต้องประหลาดใจเลย เพราะจากที่เราได้มีการเปรียบเทียบสมรรถนะ (Performance Benchmarks) มันสามารถทำคะแนนรวมได้ที่ 96 คะแนน ซึ่งถ้าเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้แล้ว ก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
ในขณะที่มันค่อนข้างที่จะล้ำหน้ากว่าในบรรดาคู่แข่งส่วนใหญ่ที่ใช้วินโดวส์เป็นหลัก แต่น่าเสียดายที่อาจจะต้องมีอาการสะดุดเล็กน้อย เมื่อต้องเทียบกับ MacBook Pro ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งขันที่ใหญ่ที่สุด แม้ว่ามันจะแซงหน้า MacBook Pro ปี 2017 แต่ตอนนี้ Apple ได้ทำการอัพเดตสายผลิตภัณฑ์นี้ด้วยโปรเซสเซอร์รุ่นที่ 8 ของ Intel เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในที่สุด MacBook Pro ก็ต้องทำให้ XPS 13 ต้องตกกระป๋อง ด้วยคะแนน 150 ตามเกณฑ์มาตรฐานของเรา ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันมากกว่า XPS ถึง 50%
ในทางกลับกัน MacBook Pro ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบนั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่า XPS 13 อยู่ประมาณ 500 ปอนด์ ดังนั้น จึงไม่ได้หมายความว่ามันมีมูลค่าต่ำแต่อย่างใด และนอกจากนี้มันก็ยังคุ้มค่าที่จะจดจำว่ามันยังคงสามารถเอาชนะคู่แข่งที่ใช้ Windows ส่วนใหญ่ในแง่ของความเร็ว
อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเป็น SSD ในรูปแบบของ PCIe ที่มีความจุ 512GB หรือ 1TB สำหรับเครื่อง Windows มันเร็วมาก โดยที่มันสามารถโอเวอร์คล็อกความเร็วในการอ่านข้อมูลสูงสุดที่ 2.2GB/sec และความเร็วในการเขียนข้อมูลสูงสุดที่ 444MB/sec แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความเร็วดิสก์ที่โดดเด่นเช่นเดียวกับ MacBook Pro แต่แน่นอนว่ามันก็ยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ สำหรับโน๊ตบุ๊กประเภท Windows
เราคาดหวังว่าประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ระยะเวลาในการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง แต่มันก็ทำให้เราต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่พบว่าแม้จะมีแบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่ารุ่นก่อน แต่ XPS 13 ใหม่นั้น ก็ยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า
จากการทดสอบแบตเตอรี่ของเรา พบว่า XPS 13 มีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 10 ชั่วโมง 7 นาที หลังจากที่มีการชาร์จจนเต็ม ซึ่งทำเวลาได้ดีกว่ารุ่นที่เหนือกว่าถึงสองชั่วโมง อย่างไรก็ตาม มันยังคงตามหลังรุ่นที่เป็นเวอร์ชั่นปี 2015 อยู่เล็กน้อย ด้วยเวลาที่ทำเอาไว้ที่ 11 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า นอกจากมันจะมันทำเวลาได้ถึง 10 ชั่วโมงแล้ว และนั่นยังเป็นสิ่งที่โน๊ตบุ๊คหลายๆ เครื่องไม่สามารถทำได้
หากเรามีข้อร้องเรียนหนึ่งเรื่องที่เกี่ยวกับ XPS รุ่นล่าสุด ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่สุดท้ายแล้ว Dell ก็ต้องยอมจำนนต่อสิ่งล่อใจและเสียสละพอร์ตดั้งเดิมให้เครื่องที่มีความบางนี้ ในขณะที่รุ่นปี 2016 ตัวเครื่องจะประกอบไปด้วยพอร์ต USB 3.0 แบบ Full size จำนวน 2 พอร์ต และตัวอ่านการ์ด SD (SD Card Reader) ซึ่งนอกเหนือจากพอร์ต Thunderbolt 3 แล้ว เวอร์ชั่นใหม่ที่ว่านี้ยังเห็นชอบกับการเสียสละเพื่อให้ได้มาซึ่งพอร์ต USB Type-C มาตรฐาน Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต และ USB 3.1 Type-C ที่เป็นแบบ DisplayPort อีกหนึ่งพอร์ต นอกจากนี้ SD card reader ก็ยังถูกแทนที่ด้วย Micro-SD Card Reader อีกด้วย
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการยอมรับที่จำเป็น ทั้งนี้ก็เพื่อให้ตัวเครื่องมีความบางเบาเช่นเดียวกับ XPS13 แต่ก็ยังคงรู้สึกว่ามันน่ารำคาญและไม่สะดวก ตรงที่ไม่มีพอร์ต USB ที่เหมาะสมอย่างน้อยสักหนึ่งพอร์ต และนั่นก็หมายความว่า คุณมีแนวโน้มที่จะต้องซื้ออะแดปเตอร์ไปด้วยเผื่อในกรณีที่จำเป็น
อย่างที่คุณคาดหวังไว้ไม่ผิด XPS 13 รองรับการยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ (Biometric Authentication) ผ่าน Windows Hello ในรูปแบบของเครื่องอ่านลายนิ้วมือ (Fingerprint Reader) ที่มีอยู่ในปุ่มเปิดปิด รวมถึงกล้องที่มีระบบตรวจจับใบหน้า (Facial Recognition) เป็นที่น่าเสียดายที่กล้องที่ว่านี้ก็ยังคงอยู่ที่ขอบด้านล่างของหน้าจอ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การหามุมที่จะไม่ส่งผลให้คางสองชั้นของคุณดูน่าสะพรึงกลัว ก็อาจจะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากสำหรับใครที่ชอบ Video Call มีความสะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ เพียงอย่างเดียวก็คือ กล้องมันถูกย้ายจากมุมล่างไปยังกึ่งกลางของขอบด้านล่าง เท่านั้นเอง
สำหรับเราแล้วถือว่าเป็นส่วนน้อยมากๆ ที่จะไม่ชอบเกี่ยวกับ XPS 13 ใหม่ ในด้านการออกแบบมันก็ยังคงรักษารูปลักษณ์ แบบคลาสสิกของ XPS ไว้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นโน๊ตบุ๊คแบบพกพามากกว่าที่เคย นอกจากนี้ประสิทธิภาพที่น่าทึ่งและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ก็จัดว่าดีกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าการสูญเสียพอร์ตเก่าบางตัวจะเป็นการลดแต้มให้ตัวของมันเอง แต่สำหรับอุปกรณ์ชิ้นนี้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า XPS 13 คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ Dell เคยทำมา
แม้ว่า MacBook รุ่นใหม่ๆ จะกลับมานำหน้า XPS 13 ได้อีกครั้ง แต่ในแง่ของประสิทธิภาพมันก็ยังคงเป็นอันดับสองที่คุ้มค่าสุดๆ และมันก็ยังเป็นแล็ปท็อป Windows ที่เราชื่นชอบมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งมันเองก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในโลกอีกต่อไป แต่มันก็สมควรที่จะได้อยู่บนโต๊ะทำงานของคุณ
ที่มา:www.itpro.co.uk