ประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่าคู่แข่ง : แต่การปรับแต่งในด้านความงามเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขข้อบกพร่องที่มีได้
โน้ตบุ๊คสายบางเบาที่มาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ที่มากด้วยประสิทธิภาพ พร้อมหน้าจอแสดงผลที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังมีการปรับปรุงใหม่ให้สวยขึ้นกว่าเดิม ในราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับสเปคของเครื่อง
ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ (Battery Life) นั้นอยู่ในระดับปานกลาง ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือตำแหน่งของกล้อง Webcam ที่ทำให้รู้สึกเก้ๆ กังๆ รวมถึงฝาปิดที่ฝืดจนเกินไป
การออกแบบระดับพรีเมียมของ Dell XPS 15 มาพร้อมกับจอแสดงผลที่โดดเด่นและประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่า ซึ่งก็ส่งผลให้มันดียิ่งขึ้นไปอีกในฐานะที่เป็น "แล็ปท็อปที่ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Windows ที่ดีที่สุด", ซึ่งจะทำให้ รู้สึกได้ถึงความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป แม้ว่าสิ่งที่ทำให้รู้สึกกังวลจะยังไม่ได้รับการแก้ไขก็ตาม
แนวโน้มด้านการออกแบบและระบบการทำงานระดับ High-end รวมถึงอุปกรณ์เกรดพรีเมียมของ Dell นั้น ต่างก็เป็นที่ยอมรับในขณะนี้ ซึ่งก็รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในช่วงปลายปี 2018 และเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล XPS ที่มีหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว
สำหรับรุ่นอื่นๆ ของผู้ผลิตรายเดียวกันนี้จากรายการของปีที่แล้ว พบว่ายังคงมีบางรุ่นที่ยังคงทิ้งความน่าประทับใจไว้ให้กับเราหลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบ (Review) และเราก็พบว่า XPS 15 ของ Dell นั้น เหมาะสมกับรูปแบบพรีเมียมของ XPS 13 และ XPS 15 2-in-1 เป็นอย่างดี
ส่วนผู้ผลิตรายอื่นๆ อย่างเช่น Huawei และ Asus ที่ได้ห้ำหั่นกันมากับ Dell ในรูปแบบของ Huawei MateBook X Pro หรือ Asus Zenbook 3 Deluxe ที่เคียงข้างมาด้วยกัน และที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอนนั่นก็คือ MacBook Pro 2018 ที่น่าทึ่ง แต่ในส่วนของตลาดพรีเมียมระดับ High-end นี้ รุ่น 15.6 นิ้ว ที่แข็งแกร่งของ Dell ก็ได้แสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่าเหตุใดมันจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างความน่าสนใจให้กับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ (Business User)
อย่างไรก็ตาม XPS 15 รุ่นที่ว่านี้ ก็ไม่เชิงว่าจะเหมือนเครื่องต้นแบบซะทีเดียว จะมีก็แต่เพียงบางส่วนที่เพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ จากการทำซ้ำของรุ่นก่อนหน้านี้ นั่นก็คือรุ่น 9560 ของมัน สำหรับผู้ใช้ที่เคยซื้อ XPS 15 รุ่นล่าสุดไปแล้วก่อนหน้านี้ อาจจะต้องมีการตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า การปรับปรุงโดยการเพิ่มสิ่งต่างๆ (Incremental) เหล่านี้ มันจึงสมควรที่จะเรียกว่าการปรับรุ่น (Upgrading) หรือไม่? และด้วยความสามารถพิเศษในการผลิต Enterprise Hardware ที่ดีที่สุด Dell จึงมุ่งมั่นที่จะทำให้เหนือกว่าความคาดหมายอีกครั้ง ด้วยโน้ตบุ๊ครุ่น Heavyweight ขนาด 15 นิ้ว ที่เป็นรุ่นล่าสุดของพวกเขา
แม้ว่า XPS 15 9570 จะมีความละม้ายคล้ายคลึงเป็นส่วนใหญ่กับรุ่นที่ออกมาเมื่อปี 2017 ที่เป็นคู่แฝดของมัน แต่ว่าการปรับแต่งในครั้งนี้ก็ยังพอที่จะแยกความแตกต่างระหว่างทั้งสองรุ่นได้
โครงสร้างอลูมิเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเรื่องของโทนสีที่ดูสว่างมากขึ้น ซึ่งก็ทำให้มันดูดีเช่นเดียวกับรุ่นที่ทำออกมาเมื่อปีที่แล้ว ในส่วนของโลโก้ Dell ที่ผ่านการอัพเดตแล้วนั้น ก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเช่นกัน ด้วยตัวอักษรที่ดูเพรียวบางและดูเหมือนว่าจะดึงดูดความสนใจได้น้อยกว่า ทำให้การสร้างภาพลักษณ์ของตราสินค้า (Branding) จะต้องคำนึงถึงส่วนของรายละเอียดมากยิ่งขึ้น
ขนาดของมันก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นที่ทำออกมาเมื่อปีที่แล้ว ด้วยขนาด 357 x 235 มิลลิเมตร พร้อมด้วยความบางของตัวเครื่องที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ มันสามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างสบายๆ กับอุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่เข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะกับจอแสดงผลขนาด 15.6 นิ้ว
สำหรับ LG Gram ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในแล็ปท็อปไม่กี่เครื่องที่มีขนาดเพรียวบาง แต่ด้วยความหนาขนาด 17.7 มิลลิเมตร ของมัน ก็ยังจัดว่าหนากว่าจุดที่หนาที่สุดของ XPS 15 ที่มีความหนา 17 มิลลิเมตร อย่างไรก็ตาม Gram ก็ยังมีน้ำเพียงแค่ 1.09 กิโลกรัม ซึ่งก็จัดว่ามีน้ำหนักที่น้อยกว่าถึงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับน้ำหนัก 2 กิโลกรัม ของ XPS 15 ในขณะที่ MacBook Pro รุ่น 15.6 นิ้ว ของ Apple มีน้ำหนักที่น้อยกว่าเพียง 200 กรัม ด้วยขนาดของตัวเครื่องที่เกือบจะเท่ากัน โดยมีขนาดที่ 357 x 235 มิลลิเมตร และที่ความหนาขนาด 15.5 มิลลิเมตร
ปุ่มสำหรับเปิด/ปิดเครื่อง (Power button) ที่ลึกยิ่งขึ้น, การปรับตำแหน่งของกล้อง (โดยย้ายจากด้านล่างซ้ายไปยังกึ่งกลางด้านล่าง) และบานพับที่มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ตำแหน่งของกล้องและฝาปิดที่ฝืดนั้น เป็นหนึ่งในปัญหากวนใจที่ใหญ่ที่สุดของเรากับ XPS 15 ก่อนหน้านี้ และน่าเสียดายที่การเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างที่กล่าวมานี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับเราได้
ผู้ที่ตกเหยื่อของการออกแบบจอแสดงผล InfinityEdge ของ Dell ต้องพบกับตำแหน่งของกล้องที่อยู่ใต้โลโก้ของผู้ผลิต ซึ่งมันทำให้การแชทผ่านกล้องนั้นดูงุ่มง่ามกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณต้องการพิมพ์ระหว่างที่วิดีโอคอล (Video Call) มันจะต้องจบลงด้วยภาพของนิ้วมือยักษ์ที่กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งหนึ่งของเฟรม และเราก็เชื่อว่ามันจะทำให้คุณรู้สึกไม่พอใจกับภาพที่เห็นอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกว่า XPS 15 2019 อาจจะมีการเปลี่ยนในส่วนของตำแหน่งกล้องที่ว่านี้ โดยย้ายไปที่ด้านบนของหน้าจอเช่นเดียวกับ XPS 13 2019 ในขณะที่ ฝาปิดที่ฝืดจนเกินไปก็ยังต้องการมือทั้งสองข้าง (และออกแรงบางส่วน) เพื่อแงะฝาเครื่องให้เปิดออก
หนึ่งในคุณสมบัติที่น่าประทับใจที่สุดของ Dell XPS 15 นั่นก็คือ หน้าจอแบบสัมผัส (Touchscreen) ขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว ของมัน ซึ่งก็มีทั้งจอแสดงผลความละเอียด 1080p และจอภาพแบบ 4K UHD (Ultra HD) ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับงบประมาณและคุณภาพที่คุณต้องการ อย่างไรก็ตามแม้แต่หน้าจอ Lower-end ความละเอียด 1080p ที่ซ้ำกับของเดิมนั้น ก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน มันดูน่าทึ่งและตอบสนองได้ดีมาก ซึ่งก็เป็นอะไรบางอย่างที่สัมผัสได้และคุณก็ไม่ควรพลาดกับประสบการณ์นี้บนแล็ปท็อปจอ Touchscreen โดยเฉพาะบนหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ของมัน ด้วยคุณภาพรวมทั้งการตอบสนองเหล่านี้ ทำให้ Dell XPS 15 เหมาะที่จะเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ทำงานในด้านการออกแบบกราฟิก, งานถ่ายภาพหรืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่ต้องการสร้างรายละเอียดของงานให้อยู่ในระดับสูงสุด
วิธีการออกแบบ InfinityEdge ได้ถูกนำไปใช้กับแล็ปท็อปเพียงแค่เป็นการเพิ่มความสวยงาม ด้วยกรอบของจอที่แคบลงจึงทำให้หน้าจอขนาดใหญ่ดูกว้างขึ้น ส่วนที่วางทับอยู่ด้านบนของพื้นที่หน้าจอทั้งหมดนั้น เป็นชิ้นส่วนที่มันวาวของกระจก Corning Gorilla Glass ที่ให้ความแตกต่างอย่างหรูหรากับที่พักฝ่ามือ ที่ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ (Carbon Fiber) ซึ่งให้ผิวสัมผัสที่อ่อนนุ่ม
แม้ว่า XPS 15 รุ่นที่ไม่ใช่หน้าจอแบบทัชสกรีนของ Dell ที่ออกมาก่อนหน้านี้ จะเป็นการผสมผสานรวมกันของการเคลือบเพื่อกันแสงสะท้อน (Non-Reflective) บนหน้าจอแสดงผล ซึ่งสิ่งนี้ก็ได้ถูกยกเลิกไปแล้วในรุ่นที่ออกมาเมื่อปี 2018 ดังนั้น สิ่งที่คุณจะได้ก็คือความสวยงามและสีที่โดดเด่นยิ่งขึ้น แต่คุณอาจจะต้องพบกับการสะท้อนแสงในสภาพที่สว่างไสวจนน่ารำคาญอยู่บ้างเล็กน้อย ในกรณีที่คุณคุ้นเคยกับหน้าจอที่มีการเคลือบกันแสงสะท้อน
หากพูดถึงในเรื่องของสี, Dell XPS 15 มีขอบเขตในการแสดงสี (Color Gamut) ตามมาตรฐาน sRGB ที่ 95.5%
นี่เป็นค่าการแสดงสีต่ำกว่า 100% ที่ Dell อ้างว่าสามารถทำได้ แต่ด้วยค่า Contrast Ratio (ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ "สีดำที่ดำที่สุดและสีขาวที่ขาวที่สุด" ที่หน้าจอสามารถแสดงได้) ที่ 1638: 1 และค่าความสว่างของหน้าจอ (Brightness) ที่ 428 cd/m2 จะทำให้จอแสดงผลของ Dell ดูมีชีวิตชีวาอย่างแท้จริงในทุกสภาวะ แน่นอนว่ามันดูยอดเยี่ยมกว่าอุปกรณ์ส่วนใหญ่ แต่ก็ยังเป็นข้อยกเว้นสำหรับอุปกรณ์ของผู้ผลิตรายอื่นๆ เช่น Surface Pro 2017 จาก Microsoft ที่มีค่าความสว่างของหน้าจอที่ 437cd/m2 และมีขอบเขตในการแสดงสีตามมาตรฐาน sRGB ที่ 97.5% เป็นต้น
สำหรับ Backlit Keyboard แบบ 81-key ของ Dell ซึ่งเป็น Keyboard ที่มี LED Backlit ที่ปุ่มกด ก็ยังเหมือนกับเครื่องของปีที่แล้วและยังคงให้ความเพลิดเพลินกับการใช้งาน เช่นเดิม ด้วยลักษณะของปุ่มกด (Chiclet) ที่มีขนาดและการเว้นระยะห่างที่พอดี ในขณะที่การกดแป้นนั้นทำได้ค่อนข้างลึก และให้การตอบสนองต่อแรงกด (Feedback) ที่ค่อนข้างดี
บางคนอาจจะคาดหวังว่า XPS 15 จะมีคีย์บอร์ดที่บางเฉียบอย่าง MagLev keyboard ใหม่ ที่ติดตั้งไว้ใน XPS 15 2-in- 1 แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ ซึ่งก็เป็นการละเลยในด้านความต้องการที่ทำให้เรารู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก คีย์บอร์ดแบบรุ่นที่เป็น 2-in-1นั้น ใช้แม่เหล็กติดตั้งไว้ใต้ปุ่มกดเพื่อลดระยะการเดินทางและการตอบสนองต่อการกด (Feedback) แต่มันก็อาจจะไม่ได้ดูน่าสนใจสำหรับนักพิมพ์ดีดที่ชอบการกดแป้นที่กระชับและดูมีพลังมากกว่า
ในขณะนี้ ข้อบกพร่องที่พบได้ทั่วไปในอุปกรณ์ของ XPS ทั้งหมด และที่ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ใน XPS 15 2018 นั่นก็คือ การปรับใช้แป้นที่มีลูกศร (Arrow Keys) ของมัน ซึ่งเป็นแป้นพิมพ์ที่ใช้เพื่อการเลื่อนตัวชี้ตำแหน่ง (Cursor) เนื่องจากพวกมันถูกยัดเยียดเข้าไปในพื้นที่เดียวกันกับปุ่ม Page up และ Page down มองดูแล้วก็ค่อนข้างที่จะผิดธรรมชาติเมื่อเทียบกับวิธีการวางมือบนอุปกรณ์ และการตัดสินใจของ Dell ในการแบ่งช่องว่างระหว่างปุ่มกดสองชุดนี้ก็เพื่อให้คงไว้ซึ่งความสวยงาม แต่ในระยะแรกๆ ผู้ใช้ก็อาจจะรู้สึกได้ว่ามันไม่น่าไปด้วยกันได้ นอกจากนี้มันยังจัดได้ว่าเป็นตัวสร้างความรำคาญ เนื่องจากการที่มันเป็นต้นเหตุให้เรามีแนวโน้มที่จะกดปุ่มผิดบ่อยกว่าปกตินั่นเอง
สำหรับแทร็คแพด (Trackpad) นั้น มีขนาดใหญ่และมีผิวสัมผัสที่เรียบเนียนอย่างน่าพอใจ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นที่เพิ่มเข้ามา อย่าง Pinch-to-Zoom ซึ่งเป็นการซูมภาพเพื่อให้เห็นรายละเอียดได้มากขึ้น โดยใช้สองนิ้วแตะที่ภาพเพื่อซูม และกดที่ใดก็ได้แทนการคลิกซ้าย Left-click เพื่อให้คุณสามารถทำงานได้อย่างคล่องแคล่วกว่าที่เคย
นี่คือเครื่องมือที่มีอำนาจอย่างแท้จริง มันขับเคลื่อนด้วยซีพียู Intel Core i7-8750H ความเร็ว 2.2GHz แบบ 6-core ซึ่งเป็นองค์ประกอบในรุ่นที่เราทำการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม Dell ยังมีตัวเลือกสำหรับซีพียู Intel Core i5-8300H แบบ 4-core และ Intel Core i9-8950HK แบบ 6-core ให้เลือกซื้อเช่นกัน
แม้ว่ามันจะสามารถรองรับหน่วยความจำ (Memory) ได้สูงสุด 32GB แต่ Ram DDR4 ที่มีหน่วยความจำขนาด 16GB ซึ่งถูกติดตั้งในรุ่นที่เราทำการตรวจสอบนั้น ก็นับว่ามากเกินพอสำหรับงานในสำนักงานโดยทั่วไปแล้ว สำหรับการอ้างอิง เราพบว่าอุปกรณ์ดังกล่าวแทบจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากการใช้งานกับแท็บ Chrome มากกว่า 20 แท็บ, ซอฟต์แวร์เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต (Productivity Application) หลายๆ ตัว รวมถึง Spotify (ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสตรีมเพลงดิจิทัล, พอดแคสต์และวิดีโอ) ที่เปิดใช้ในขณะไลฟ์สดด้วยความละเอียด 4K ที่มีเฟรมเรตสูงถึง 60fps (หน่วยเป็นเฟรมต่อวินาที) ในพื้นหลัง (Background)
XPS จัดว่าเป็นหนึ่งในแล็ปท็อปที่ทรงพลังที่สุดตัวหนึ่งที่เราเคยจัดการ ซึ่งวัดได้จากคะแนนที่ทำได้ 178 คะแนน จากการเปรียบเทียบกระบวนการทำงาน (Performance Benchmarking) ของเรา ซึ่งมันก็ไม่ใช่เป็นเพียงแค่หนึ่งในคะแนนสูงสุดที่เราได้บันทึกไว้ในโน้ตบุ๊ก แต่มันยังทำคะแนนที่เฉือนกันกับ MacBook Pro รุ่นจอ 15 นิ้ว ซึ่งทำได้ที่ 173 คะแนน (ในการกำหนดค่าที่บังเอิญมีซีพียู i9-8950HK เป็นองค์ประกอบที่เหมือนกัน)
นอกจากนี้ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ก็ยังมีการรักษาประสิทธิภาพการทำงานในระดับสูงสุด (High-Performance) ทั้งการทำงานแบบ Single-Thread และแบบ Multi-Thread และยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงการอัพเกรดครั้งสำคัญในรุ่นของปีที่แล้ว ซึ่งมีคะแนนเพียง 127 คะแนน ในการเปรียบเทียบกระบวนการทำงานที่เป็นเกณฑ์มาตรฐานของเรา
อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่ 97Whr ของ Dell นั้น ก็ยังเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าผิดหวัง สำหรับความทนทานในการทดสอบวิดีโอของเราที่ใช้เวลา 7 ชั่วโมง 14 นาที นี่จัดว่าเป็นตัวเลขที่น่าอายเมื่อเทียบกับอายุการใช้งานของ MacBook Pro ที่ทำเวลาได้ 8 ชั่วโมง 1 นาที และยังเป็นช่วงเวลาของการใช้งานที่สั้นกว่าประมาณ 3 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ XPS 15 2017 ที่มีแบตเตอรี่ที่ทำงานได้ยาวนานถึง 10 ชั่วโมง 27 นาที อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งสองรุ่นที่นำมาเปรียบเทียบนั้นไม่ได้ใช้จอแสดงผลที่มีความละเอียดคมชัดระดับ 4K ซึ่งมีชื่อเสียงในการกลืนกินพลังแบตเตอรี่อย่างสิ้นเปลือง คุณน่าจะได้รับชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานกว่า โดยการเลือกใช้จอแสดงผลในเวอร์ชั่น 1080p เพื่อเป็นการใช้งานแบตเตอรี่อย่างคุ้มค่าและชาญฉลาด
แต่ปัญหามันยังไม่หมดแค่นั้น เพราะแบตเตอรี่จะทำการชาร์จด้วยความเร็วระดับฝีเท้าหอยทาก เมื่อมันต้องทำการเชื่อมต่อกับจอภาพภายนอกผ่าน USB-C เนื่องจากการใช้พลังงานที่มีกำลังไฟต่ำ (Low Wattage) จ่ายให้กับเครื่อง และพบยังว่ามีบางครั้งที่ประสิทธิภาพการทำงานช้าลงมาก เมื่อมีการเชื่อมต่อกับหน้าจอภายนอก
คอลเลกชั่นที่แข็งแกร่งของพอร์ตนั้น ส่งเสริมให้หนังสือรับรอง (Credential) ของเครื่องเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีสำหรับผู้ใช้งานทางธุรกิจ (Business Users) ระดับสูง
แม้ว่าจะมีโครงสร้างที่เพรียวบาง (Slender) แต่ XPS 15 เสนอพอร์ต USB 3.1 ให้ถึง 2 พอร์ต โดยมีด้านหนึ่งที่เป็น USB 3.1 Gen 1 พร้อมด้วย Power Delivery เป็นเทคโนโลยีมาตรฐาน ในการจ่ายไฟผ่านช่องชาร์จ USB-C ส่วนอีกด้านนั้นเป็นพอร์ต ThunderBolt 3.0 ที่สามารถใช้เป็นพอร์ต USB-C 3.1 Gen 2 (ความเร็ว 10 Gbps) ได้ ส่วนที่เหลือก็มี USB-C, พอร์ต HDMI 2.0, Thunderbolt 3 (ที่พูดถึงไปแล้ว แต่ที่เพิ่มเติมก็คือ ความสามารถในการรองรับการชาร์จไฟ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ของ USB-C) และช่องอ่าน SD Card ซึ่งในที่นี้จะไม่กล่าวถึง Headset Jack 3.5 มม.
คุณสมบัติด้านความปลอดภัยของ XPS 15 นั้น ประกอบไปด้วยปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง (Power Button) ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกด้วยการทำหน้าที่เป็นเครื่องอ่านลายนิ้วมือไปในตัว และช่อง Noble lock สำหรับเสียบสายล็อคเพื่อเพิ่มระดับการป้องกัน ไม่มีการตรวจพบปัญหาด้านความน่าเชื่อถือสำหรับตัวอ่านลายนิ้วมือ (Fingerprint Reader) และในส่วนของปุ่มเปิด-ปิด ที่ได้รับการออกแบบมาใหม่นั้นพบว่ามีความลึกและแข็ง เพียงพอที่จะไม่เผลอไปกดโดยไม่ได้ตั้งใจขณะที่ทำการลงชื่อเข้าใช้
สำหรับปุ่มเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างสล็อต Noble lock และพอร์ต USB 3.1 ทางด้านขวาของตัวเครื่อง สามารถเปิดใช้งานไฟ LED ห้าดวง เพื่อตรวจสอบอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ว่าเหลือเท่าไหร่ ซึ่งแต่ละหลอดนั้นมีค่าเท่ากับ 20% ของแบตเตอรี่ วิธีนี้ค่อนข้างมีประโยชน์สำหรับการตรวจสอบระดับแบตเตอรี่ในขณะที่ปิดเครื่องและฝานั้นถูกปิดไว้อยู่
แม้จะมีข้อบกพร่องจำนวนหนึ่งที่ได้รับการกลบเกลื่อนโดยการปรับแต่งในส่วนอื่นๆ ด้วยการออกแบบในเชิงบวกมาโดยตลอด และยังรวมถึงอายุการใช้งานแบตเตอรี่โดยเฉลี่ย ทั้งนี้ Dell XPS 15 ก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่าตัวมันเองเป็นเครื่องจักรที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งก็เกินกว่ามาตรฐานของคู่แข่งของมันที่ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Windows ทั้งในแง่ของการออกแบบและประสิทธิภาพ
การแข่งขันที่ดุเดือดของมันเริ่มขึ้นกับ MacBook Pro รุ่น 15 นิ้ว จัดว่าเป็นคู่แข่งที่เหมาะสมกันอย่างแน่นอน ซึ่งความแตกต่างระหว่างรุ่น Heavyweights สองรุ่นนี้ มีความแตกต่างกันน้อยมาก จนขนาดที่คุณอาจจะต้องลงความเห็นเลยว่าคุณต้องการที่จะใช้ MacOS หรือ Windows อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมดแล้ว เราพบว่า XPS 15 แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปได้เป็นอย่างดี ด้วยการกำหนดค่า i9 เต็มรูปแบบที่มีอยู่ของมัน ในราคาที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของ MacBook Pro 15 นิ้ว Core i9 ซึ่งมีราคาอยู่ที่ประมาณ £5,174 และนี่ก็เป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (Excluding Vat)
ด้วยความมีสไตล์ที่มากพอๆ กับโมเดลของปี 2017 และการกักเก็บพลังที่ทำได้มากกว่า จึงทำให้โน้ตบุ๊คระดับพรีเมียมของ Dell เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและจำเป็นต้องมีสำหรับผู้ใช้ทางธุรกิจที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊คระดับ High-end ขนาด 15.6 นิ้ว ซึ่งมันสามารถตอบสนองในด้านประสิทธิภาพ ความสะดวกในการพกพาและฟังก์ชั่นการใช้งาน นอกจากนี้ มันยังดูดีมากเลยทีเดียว
สินค้าเพิ่มเติม : www.quickserv.co.th