ช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ เราได้เริ่มทดลองอุปกรณ์ที่แตกต่างออกไป โดยหลัก ๆ คือ แล็ปท็อปของ Windows เพื่อหาอะไรบางอย่างที่แทนที่ iPad Pro ของเราได้ และพบว่า Surface Laptop Studio นั้นไว ทรงพลัง และเพลิดเพลินสำหรับการใช้งานเป็นอย่างมาก แม้จะไม่มี LTE และนับว่าตัวเครื่องมีขนาดหนาเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับ iPad Pro เราได้ลองใช้ Surface Pro X อยู่บ้างนับตั้งแต่มันเปิดตัว และพบว่ารูปทรงเครื่องนั้นตอบโจทย์เลยทีเดียว แต่ก็ขาดการรองรับการเปลี่ยนผ่านอันเชื่องช้าของ Microsoft ไปสู่ระบบ ARM โดยแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานช้าลง
นับตั้งแต่เราได้เริ่มการทดลองใช้เครื่องอื่น ๆ เราก็ได้ทดลองใช้ Surface Pro 8 พร้อม LTE ด้วยเช่นกัน แต่คุณอาจไม่เจอข้อมูลของมันอยู่ในรายชื่อสินค้าของร้านค้า Surface ของ Microsoft ถึงตัวบริษัทจะทำ Surface Pro 8 เวอร์ชันมี LTE ออกมาก็ตาม อันที่จริง มันมีชื่อเรียกอยู่แล้วว่า Surface Pro 8 for Business ซึ่งคุณสามารถสั่งรุ่นธุรกิจนี้ได้จากผู้ค้าปลีกซึ่ง Microsoft ระบุรายชื่อไว้ในหน้าเว็บ รวมถึง Verizon Wireless หรือสั่งได้โดยตรงจาก Microsoft Business
Surface หน้าใหม่….มั้ง
ตอนที่ Microsoft ประกาศเปิดตัว Surface Pro 8 ในเดือนกันยายน 2021 เราได้เห็นการออกแบบแนวใหม่ทั้งหมดสำหรับกลุ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ Surface Pro ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ออกแบบใหม่ทั้งหมด เพราะดีไซน์โดยรวมนั้นเหมือนกันกับ Surface Pro X และเมื่อวาง Pro X ไว้ข้าง ๆ Pro 8 จะเห็นเพียงข้อแตกต่างเดียวที่สังเกตได้คือ Pro 8 มีความหนากว่า Pro X นอกจากนั้นก็ดูเหมือนกันอย่างกับแกะ
ที่ด้านบนจอแสดงผล จะพบกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมกับฮาร์ดแวร์ทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับระบบการจดจำใบหน้าเพื่อใช้งาน Windows Hello ในการปลดล็อกเครื่อง Pro 8 หรือลงชื่อเข้าใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ และเมื่อคุณกางขาตั้งออก จะเห็นช่องเล็ก ๆ ที่มุมล่างซ้ายของตัวเครื่อง ซึ่งสามารถใช้ที่ดึงซิมการ์ดหรือคลิปหนีบกระดาษกดเข้าไปในรูเล็ก ๆ นั่นได้หากต้องการดึงฝาครอบตัวเครื่องออก
ข้างใต้นั้นจะเป็นที่เก็บข้อมูล SSD ของ Pro 8 ซึ่งสามารถถอดเปลี่ยนเองได้ พร้อมกับมีช่องใส่ซิมการ์ดมาให้ คุณไม่จำเป็นต้องใช้ซิมการ์ดจริง ๆ เนื่องจาก Pro 8 รองรับ eSIM แต่เนื่องจากเราสลับไปมาระหว่าง Pro X และ iPad Pro บ่อยครั้ง เลยมีซิมการ์ดสำหรับใช้งานแผนบริการข้อมูลอย่างเดียวอยู่แล้ว
โดยรวมแล้ว เราชอบการออกแบบของ Pro 8 และพบว่าตัวเองใช้มันเป็นแท็บเล็ตมากกว่าไปใช้งาน iPad Pro เสียอีก เนื่องจากว่ามีที่ตั้งในตัวมาให้พร้อมอยู่แล้วโดยไม่ต้องซื้อเคสหรืออะไรมา ซึ่งมันสุดยอดไปเลยล่ะ
แล้วมันแทนที่ iPad Pro ได้ไหม?
ภายใน Surface Pro 8 ที่เราใช้ทดสอบ คือโปรเซสเซอร์ Intel Core i7 เจน 11 และมีหน่วยความจำขนาด 16GB และ SSD 256GB และมี Windows 11 Pro ติดตั้งมาให้พร้อมนับตั้งแต่แกะกล่อง
สิ่งแรกที่เราทำหลังจากตั้งค่า Pro 8 เสร็จ ก็คือการเปิดใช้งานอัตราการรีเฟรช 120Hz ซึ่งเพิ่มขึ้นจากอัตราการรีเฟรชมาตรฐาน 60Hz เราเห็นความแตกต่างได้ทันทีเมี่อลองเลื่อนหน้าจอหรือลองเล่นเกมทั่ว ๆ ไป แต่โดยรวมแล้วเราไม่แน่ใจว่าฟีเจอร์ทั้งหมดที่ว่ามานี้จำเป็นสำหรับ Pro 8 หรือไม่ ใช่ มันก็ช่วยได้ แต่ก็แลกมาด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่
เรายังไม่เคยลองใช้งานเต็มที่จนถึงประมาณ 14 ชั่วโมงแต่อย่างใด แม้แต่ตอนที่ทดลองใช้ Pro 8 รุ่น Wi-Fi อย่างเดียว อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่ของ Pro 8 นั้นอยู่ได้นานเท่าแบตเตอรี่ของ iPad Pro ที่เรามี ซึ่งก็คือใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมงวันทำงาน อาจจะบวกลบไปสักหนึ่งชั่วโมง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราประหลาดใจก็คือ หลังจากใช้ Pro X และ iPad Pro แล้วเปลี่ยนมาใช้ Pro 8 เราพบว่าอันที่จริงแล้ว Pro 8 ยังมีพัดลมมาให้ในตัว เราเดาว่า Pro 8 นั้นมีขนาดหนากว่า Pro X มาก เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับระบบระบายความร้อน เสียงพัดลมไม่ดังมาก แต่ทำงานบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลองเชื่อมต่อ Pro 8 กับจอแยก
พูดถึงเรื่องนี้ เราลองเชื่อม Pro 8 เข้ากับจอแยกสำหรับการทดสอบส่วนใหญ่ ซึ่งต้องขอบคุณที่เครื่องรองรับพอร์ต Thunderbolt 4 ทำให้เราสามารถใช้สายพอร์ต Thunderbolt 4 ใดก็ได้ที่มีอยู่ รวมถึงสาย Pro Thunderbolt 4 Dock ของ Belkin ซึ่งมีพอร์ตเพียงพอสำหรับการใช้งานของเราอยู่แล้ว
มันสามารถเชื่อมต่อแท็บเล็ตกับจอแสดงผลภายนอกได้จริง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเราอย่างมาก เราสามารถเปิดแอปอย่างเช่น Slack และอีเมลของ iCloud บนหน้าจอของ Pro 8 ในขณะที่เขียนใน iA Writer ในจอแยกที่ขนาดใหญ่ขึ้น โดยเปิดแท็บใน Edge ไว้ได้หลายอัน
เมื่อทำงานกับ iPad Pro ที่เชื่อมต่อกับจอภาพ สิ่งที่อยู่บนหน้าจอของ iPad จะเหมือนกับสิ่งที่แสดงบนจอใหญ่กว่า มีแอปพลิเคชันบางตัวที่ใช้ API พื้นฐานของ Apple สำหรับจอแยก แต่ก็ไม่ยอดเยี่ยมเท่า
แต่ Pro 8 นั้นใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 11 เต็มรูปแบบ ในขณะที่ iPad Pro ใช้ระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่าง iPadOS แต่อุปกรณ์ทั้งสองมีขนาดค่อนข้างเท่ากัน และมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้ประเภทเดียวกัน โดยวางราคาให้ใกล้เคียงจนเปรียบเทียบกันได้
มีหลายอย่างที่ iPad Pro ทำได้ดีกว่า
ต้องยอมรับว่า ทั้งหมดที่เราเขียนมาจนถึงตอนนี้นั้นคือจดหมายรักถึง Surface Pro 8 แต่นั่นเป็นเพราะมันสมควรได้รับสิ่งนี้อย่างแท้จริง มันเป็นอุปกรณ์ 2-in-1 ที่ยอดเยี่ยมและใช้งานสนุก แต่มีบางจุดที่ทำให้ iPad Pro ยังเป็นอุปกรณ์ที่ดีกว่าสำหรับเรา เราชอบใช้แอป Mail ของ Apple ร่วมกับโดเมนส่วนตัว iCloud+ แทนการใช้ Thunderbird หรือเว็บไซต์ iCloud เพื่อเข้าถึงอีเมลของตัวเอง นอกจากนี้ เรายังชอบเขียนบน iPad เพราะมีสิ่งรบกวนน้อยกว่ามากเวลาที่เรามองเห็นได้เพียงแค่แอปพลิเคชันเดียว เราอาจต้องทดลองเพิ่มเติมด้วยการใช้ Windows แบบเต็มหน้าจอและใช้ Focus Assist เพื่อสร้างประสบการณ์ที่คล้าย ๆ กันบน Windows นอกจากนี้ Pro 8 ยังเป็นแท็บเล็ตที่ดีขึ้นที่ออกแบบมาโดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์การสัมผัสเป็นหลัก แต่สิ่งหนึ่งที่เราชอบเกี่ยวกับ iPad Pro ก็คือ ประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้และสม่ำเสมอ เพราะเมื่อใช้ Pro 8 โดยเปิดหลาย ๆ จอ อาจทำให้มีความล่าช้าหรือมีหน่วงเล็กน้อยเวลาเปิดหน้าจอขึ้นมาหลังจากย่อหน้าจอนั้นไป สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับแอปใดแอปหนึ่ง เรามักเจอปัญหานี้เวลาพยายามเปิด Thunderbird, Discord หรือ Slack
ข้อสรุป
หลังจากทิ้ง Surface Pro 8 ไว้บนชั้นมาหลายเดือน เราก็กลับมาใช้มันเป็นอุปกรณ์ทำงานอีกครั้ง เป็นอีกครั้งที่เราสนุกสนานไปกับการใช้หลาย ๆ หน้าต่างเพื่อทำงานหลายอย่างพร้อมกัน โดยไม่ต้องกังวลกับว่าต้องหาทางแก้อะไรเพิ่มเติม เรายังสามารถพกพามันไปไหนต่อไหนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นสรุปแล้วว่าควรเลือก iPad หรือ Surface Pro 8 กันแน่? เราไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอนาคตของ iPadOS จะเป็นอย่างไร อย่างที่เราเคยมั่นใจในอนาคตของแท็บเล็ตระดับไฮเอนด์ของ Apple แต่ก่อน แต่นี่หมายความว่า Apple จะยังคงผลิตอุปกรณ์แท็บเล็ตโดยเฉพาะที่ดีที่สุดที่หาซื้อได้ออกมาอยู่ดี หากคุณกำลังลังเลว่าจะเลือก Surface Pro 8 หรือ iPad Pro ดี เราคงบอกได้แค่ว่า ทั้งสองตัวนี้ดีทั้งคู่ ตราบเท่าที่คุณรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร iPad Pro ทำอะไรได้หลายอย่าง แต่มีเพียงไม่กี่อย่างที่ทำได้ดีจริง ๆ ส่วนSurface Pro 8 นั้น แม้จะทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกันได้ดี แต่ก็ต้องเผื่อที่สำหรับการหน่วงที่จะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะได้คอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบหากเลือกใช้ Surface Pro 8 หรือ 80% หากใช้ iPad Pro อยู่ดี