รีวิว Microsoft Surface Pro 8 สำหรับธุรกิจ
Please wait...
COMMERCIAL IT UPDATE
รีวิว Microsoft Surface Pro 8 สำหรับธุรกิจ

รีวิว Microsoft Surface Pro 8 สำหรับธุรกิจ: ยังรักอยู่




หลังจากใช้งาน Surface Pro 8 พร้อม LTE มาสักระยะ เราก็เกือบเปลี่ยนไปเป็นผู้ใช้ Windows เสียแล้ว


ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ที่เคยเขียนเล่าว่าเราใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานด้วย iPad Pro ได้อย่างไร อุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์สำหรับทำงานในอุดมคติเลยหากใช้เพื่อการเขียน หรือกรองกล่องจดหมาย และเปิดแอปฯ สลับกันไปมาระหว่าง Slack และ Discord
 
แต่ถึงแม้ iPad จะเป็นขาประจำสำหรับโฟลว์การทำงานของเรามากว่าสิบปี เราก็เริ่มเบื่อการใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่สเปคกำลังการทำงานโอเวอร์กว่าตัวซอฟต์แวร์ที่มันมีจนใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเสียแล้ว ถึงแม้ว่าการได้สัมผัสกับการใช้งาน Stage Manager แรก ๆ ที่ผสมผสานเข้ากับระบบจอแยกจะดูน่าสนใจ แต่ Apple ก็ดันเอาฟีเจอร์หลักอย่างการรองรับหน้าจอแยกออกไป เนื่องจากเจอบั๊กและปัญหาด้านประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้เราสับสนว่าอนาคตของ iPad จะเป็นอย่างไรต่อไป
 
ช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ เราได้เริ่มทดลองอุปกรณ์ที่แตกต่างออกไป โดยหลัก ๆ คือ แล็ปท็อปของ Windows เพื่อหาอะไรบางอย่างที่แทนที่ iPad Pro ของเราได้ และพบว่า Surface Laptop Studio นั้นไว ทรงพลัง และเพลิดเพลินสำหรับการใช้งานเป็นอย่างมาก แม้จะไม่มี LTE และนับว่าตัวเครื่องมีขนาดหนาเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับ iPad Pro เราได้ลองใช้ Surface Pro X อยู่บ้างนับตั้งแต่มันเปิดตัว และพบว่ารูปทรงเครื่องนั้นตอบโจทย์เลยทีเดียว แต่ก็ขาดการรองรับการเปลี่ยนผ่านอันเชื่องช้าของ Microsoft ไปสู่ระบบ ARM โดยแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานช้าลง
 
นับตั้งแต่เราได้เริ่มการทดลองใช้เครื่องอื่น ๆ  เราก็ได้ทดลองใช้ Surface Pro 8 พร้อม LTE ด้วยเช่นกัน แต่คุณอาจไม่เจอข้อมูลของมันอยู่ในรายชื่อสินค้าของร้านค้า Surface ของ Microsoft ถึงตัวบริษัทจะทำ Surface Pro 8 เวอร์ชันมี LTE ออกมาก็ตาม อันที่จริง มันมีชื่อเรียกอยู่แล้วว่า Surface Pro 8 for Business ซึ่งคุณสามารถสั่งรุ่นธุรกิจนี้ได้จากผู้ค้าปลีกซึ่ง Microsoft ระบุรายชื่อไว้ในหน้าเว็บ รวมถึง Verizon Wireless หรือสั่งได้โดยตรงจาก Microsoft Business
 

Surface หน้าใหม่….มั้ง

 

ตอนที่ Microsoft ประกาศเปิดตัว Surface Pro 8 ในเดือนกันยายน 2021 เราได้เห็นการออกแบบแนวใหม่ทั้งหมดสำหรับกลุ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ Surface Pro ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ออกแบบใหม่ทั้งหมด เพราะดีไซน์โดยรวมนั้นเหมือนกันกับ Surface Pro X และเมื่อวาง Pro X ไว้ข้าง ๆ Pro 8 จะเห็นเพียงข้อแตกต่างเดียวที่สังเกตได้คือ Pro 8 มีความหนากว่า Pro X นอกจากนั้นก็ดูเหมือนกันอย่างกับแกะ
 
จอแสดงผล PixelSense ของ Pro 8 มีอัตราการรีเฟรชสูงถึง 120Hz และยังตอบสนองต่อการสัมผัส และสามารถใช้ร่วมกับปากกาของ Surface ได้
 
ขาตั้งในตัวของ Pro 8 มีความสามารถคล้าย Surface แบบดั้งเดิม เช่นสามารถปรับองศาหน้าจอแสดงผลของ Pro 8 ได้ รวมถึงการกางจอจนราบไปกับพื้นโต๊ะ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการวาดหรือเขียนด้วย Slim Pen 2
 
ทางด้านขวาของตัวเครื่อง Pro 8 มีพอร์ต Surface Connect และพอร์ต Thunderbolt 4 อยู่สองพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อจอแสดงผลภายนอก หรือฮาร์ดไดรฟ์ หรือใช้อุปกรณ์เสริม USB-C ใด ๆ เหนือพอร์ตสองพอร์ตนั้นคือปุ่มเปิดปิด ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง
 
ที่ด้านบนจอแสดงผล จะพบกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมกับฮาร์ดแวร์ทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับระบบการจดจำใบหน้าเพื่อใช้งาน Windows Hello ในการปลดล็อกเครื่อง Pro 8 หรือลงชื่อเข้าใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ และเมื่อคุณกางขาตั้งออก จะเห็นช่องเล็ก ๆ ที่มุมล่างซ้ายของตัวเครื่อง ซึ่งสามารถใช้ที่ดึงซิมการ์ดหรือคลิปหนีบกระดาษกดเข้าไปในรูเล็ก ๆ นั่นได้หากต้องการดึงฝาครอบตัวเครื่องออก
 
ข้างใต้นั้นจะเป็นที่เก็บข้อมูล SSD ของ Pro 8 ซึ่งสามารถถอดเปลี่ยนเองได้ พร้อมกับมีช่องใส่ซิมการ์ดมาให้ คุณไม่จำเป็นต้องใช้ซิมการ์ดจริง ๆ เนื่องจาก Pro 8 รองรับ eSIM แต่เนื่องจากเราสลับไปมาระหว่าง Pro X และ iPad Pro บ่อยครั้ง เลยมีซิมการ์ดสำหรับใช้งานแผนบริการข้อมูลอย่างเดียวอยู่แล้ว
 

มีอีกอย่าง eSIM vs. SIM: มันต่างกันยังไง?

 

Pro 8 และที่ชาร์จที่ใช้พอร์ต Surface Connect มีรวมมาให้แล้วในกล่อง แต่ถ้าหากคุณไม่อยากพกที่ชาร์จที่ให้มา ก็ใช้พอร์ต USB-C/Thunderbolt 4 เพื่อชาร์จแท็บเล็ตแทนได้ สิ่งที่ไม่มีในกล่องคือปากกาสไตลัสหรือคีย์บอร์ด ที่ต้องซื้อแยก และถ้าหากคุณเป็นผู้ใช้ Surface มายาวนาน เราก็มีข่าวร้าย คือ แป้นพิมพ์ Surface รุ่นก่อนหน้านี้จะใช้ไม่ได้กับ Pro 8
 
คุณเลือกได้สามวิธีหากคิดจะใช้งานแท็บเล็ตเครื่องใหม่กับคีย์บอร์ดของคุณ วิธีแรกคือการแปลงเป็น 2-in-1 โดยเลือกซื้อ Surface Pro Signature Keyboard ที่มีราคา $179 หรือซื้อ Surface Pro Signature Keyboard ที่มีราคา $199 พร้อมตัวอ่านลายนิ้วมือ (ปัจจุบันลดราคาอยู่ที่ $169) หรือไม่ก็ซื้อชุดคอมโบ Surface Pro Signature Keyboard ราคา $279 ที่มาพร้อมปากกา Slim Pen 2 เรามีชุดคอมโบอยู่แล้ว และนั่นคือรุ่นที่เราใช้ตอนทดลองใช้งาน
 
แต่ไม่ว่าคุณจะใช้คีย์บอร์ดอะไร ทั้งหมดก็มีช่องสำหรับ Surface Slim Pen 2 อยู่เหนือตัวคีย์บอร์ดนั้น เมื่อพับเก็บ ตัวปากกาจะวางอยู่บนโครงด้านล่างของ Pro 8 และจะชาร์จตัวปากกาได้อย่างไร้สาย ทำให้มันพร้อมใช้งานตลอดเวลา
 
โดยรวมแล้ว เราชอบการออกแบบของ Pro 8 และพบว่าตัวเองใช้มันเป็นแท็บเล็ตมากกว่าไปใช้งาน iPad Pro เสียอีก เนื่องจากว่ามีที่ตั้งในตัวมาให้พร้อมอยู่แล้วโดยไม่ต้องซื้อเคสหรืออะไรมา ซึ่งมันสุดยอดไปเลยล่ะ
 

แล้วมันแทนที่ iPad Pro ได้ไหม?

 

ภายใน Surface Pro 8 ที่เราใช้ทดสอบ คือโปรเซสเซอร์ Intel Core i7 เจน 11 และมีหน่วยความจำขนาด 16GB และ SSD 256GB และมี Windows 11 Pro ติดตั้งมาให้พร้อมนับตั้งแต่แกะกล่อง
 
สำหรับรุ่น LTE จะมีราคาตั้งแต่ 1,349 ดอลลาร์ ด้วยสเปค Intel Core i5, หน่วยความจำ 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB หรือสเปคเท่ากับเครื่องที่เราทดลองใช้ ปกติจะมีราคาขายปลีกอยู่ที่ 1,849 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันลดราคาเหลือเพียง 1,599 ดอลลาร์ และราคาเหล่านั้นไม่รวมแป้นพิมพ์
 
สเปคอื่น ๆ ก็คือ มันรองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.1 และมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุดถึง 14 ชั่วโมง ลดลงจากรุ่น Wi-Fi ที่ใช้ได้ถึง 16 ชั่วโมง
 
สิ่งแรกที่เราทำหลังจากตั้งค่า Pro 8 เสร็จ ก็คือการเปิดใช้งานอัตราการรีเฟรช 120Hz ซึ่งเพิ่มขึ้นจากอัตราการรีเฟรชมาตรฐาน 60Hz เราเห็นความแตกต่างได้ทันทีเมี่อลองเลื่อนหน้าจอหรือลองเล่นเกมทั่ว ๆ ไป แต่โดยรวมแล้วเราไม่แน่ใจว่าฟีเจอร์ทั้งหมดที่ว่ามานี้จำเป็นสำหรับ Pro 8 หรือไม่ ใช่ มันก็ช่วยได้ แต่ก็แลกมาด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่
 
เรายังไม่เคยลองใช้งานเต็มที่จนถึงประมาณ 14 ชั่วโมงแต่อย่างใด แม้แต่ตอนที่ทดลองใช้ Pro 8 รุ่น Wi-Fi อย่างเดียว อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่ของ Pro 8 นั้นอยู่ได้นานเท่าแบตเตอรี่ของ iPad Pro ที่เรามี ซึ่งก็คือใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมงวันทำงาน อาจจะบวกลบไปสักหนึ่งชั่วโมง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราประหลาดใจก็คือ หลังจากใช้ Pro X และ iPad Pro แล้วเปลี่ยนมาใช้ Pro 8 เราพบว่าอันที่จริงแล้ว Pro 8 ยังมีพัดลมมาให้ในตัว เราเดาว่า Pro 8 นั้นมีขนาดหนากว่า Pro X มาก เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับระบบระบายความร้อน เสียงพัดลมไม่ดังมาก แต่ทำงานบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลองเชื่อมต่อ Pro 8 กับจอแยก
 
พูดถึงเรื่องนี้ เราลองเชื่อม Pro 8 เข้ากับจอแยกสำหรับการทดสอบส่วนใหญ่ ซึ่งต้องขอบคุณที่เครื่องรองรับพอร์ต Thunderbolt 4 ทำให้เราสามารถใช้สายพอร์ต Thunderbolt 4 ใดก็ได้ที่มีอยู่ รวมถึงสาย Pro Thunderbolt 4 Dock ของ Belkin ซึ่งมีพอร์ตเพียงพอสำหรับการใช้งานของเราอยู่แล้ว
 
มันสามารถเชื่อมต่อแท็บเล็ตกับจอแสดงผลภายนอกได้จริง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเราอย่างมาก เราสามารถเปิดแอปอย่างเช่น Slack และอีเมลของ iCloud บนหน้าจอของ Pro 8 ในขณะที่เขียนใน iA Writer ในจอแยกที่ขนาดใหญ่ขึ้น โดยเปิดแท็บใน Edge ไว้ได้หลายอัน
 
เมื่อทำงานกับ iPad Pro ที่เชื่อมต่อกับจอภาพ สิ่งที่อยู่บนหน้าจอของ iPad จะเหมือนกับสิ่งที่แสดงบนจอใหญ่กว่า มีแอปพลิเคชันบางตัวที่ใช้ API พื้นฐานของ Apple สำหรับจอแยก แต่ก็ไม่ยอดเยี่ยมเท่า
 
โดยปกติแล้ว เราต้องหาวิธีแก้ปัญหามากมายเมื่อต้องการทำงานบางอย่างบน iPad ให้เสร็จ ตัวอย่างเช่น หากต้องการเผยแพร่เนื้อหาบน ZDNet เรามักต้องย้ายไปเปิด MacBook Pro ของเราจากระยะไกลและใช้เบราเซอร์ Chrome เพื่อเพิ่มรูปภาพลงในเนื้อหา ไม่เช่นนั้นจะทำให้ระบบการจัดการเนื้อหาเกิดความผิดพลาด อันที่จริงถ้าพูดอย่างแฟร์ ๆ ปัญหานี้มาเป็นปัญหาของ Safari ใน Mac ด้วย อย่างไรก็ตาม เราจะสามารถใช้ Chrome เวอร์ชันจริงได้บน Mac เท่านั้น ไม่ใช่เบราเซอร์ที่ถูกเอาสกินมาครอบด้วย WebKit ที่ Apple บังคับให้นักพัฒนาใช้งานบน iPhone และ iPad  ซึ่งหมายความว่า โดยพื้นฐานแล้ว เบราวเซอร์ Edge, Chrome, Brave และอื่น ๆ นั้นก็คือ Safari สวมสกินทั้งหมด
 
แต่ Pro 8 นั้นใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 11 เต็มรูปแบบ ในขณะที่ iPad Pro ใช้ระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่าง iPadOS แต่อุปกรณ์ทั้งสองมีขนาดค่อนข้างเท่ากัน และมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้ประเภทเดียวกัน โดยวางราคาให้ใกล้เคียงจนเปรียบเทียบกันได้
 

มีหลายอย่างที่ iPad Pro ทำได้ดีกว่า

 

ต้องยอมรับว่า ทั้งหมดที่เราเขียนมาจนถึงตอนนี้นั้นคือจดหมายรักถึง Surface Pro 8 แต่นั่นเป็นเพราะมันสมควรได้รับสิ่งนี้อย่างแท้จริง มันเป็นอุปกรณ์ 2-in-1 ที่ยอดเยี่ยมและใช้งานสนุก แต่มีบางจุดที่ทำให้ iPad Pro ยังเป็นอุปกรณ์ที่ดีกว่าสำหรับเรา เราชอบใช้แอป Mail ของ Apple ร่วมกับโดเมนส่วนตัว iCloud+ แทนการใช้ Thunderbird หรือเว็บไซต์ iCloud เพื่อเข้าถึงอีเมลของตัวเอง นอกจากนี้ เรายังชอบเขียนบน iPad เพราะมีสิ่งรบกวนน้อยกว่ามากเวลาที่เรามองเห็นได้เพียงแค่แอปพลิเคชันเดียว เราอาจต้องทดลองเพิ่มเติมด้วยการใช้ Windows แบบเต็มหน้าจอและใช้ Focus Assist เพื่อสร้างประสบการณ์ที่คล้าย ๆ กันบน Windows นอกจากนี้ Pro 8 ยังเป็นแท็บเล็ตที่ดีขึ้นที่ออกแบบมาโดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์การสัมผัสเป็นหลัก แต่สิ่งหนึ่งที่เราชอบเกี่ยวกับ iPad Pro ก็คือ ประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้และสม่ำเสมอ เพราะเมื่อใช้ Pro 8 โดยเปิดหลาย ๆ จอ อาจทำให้มีความล่าช้าหรือมีหน่วงเล็กน้อยเวลาเปิดหน้าจอขึ้นมาหลังจากย่อหน้าจอนั้นไป สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับแอปใดแอปหนึ่ง เรามักเจอปัญหานี้เวลาพยายามเปิด Thunderbird, Discord หรือ Slack
 

ข้อสรุป

หลังจากทิ้ง Surface Pro 8 ไว้บนชั้นมาหลายเดือน เราก็กลับมาใช้มันเป็นอุปกรณ์ทำงานอีกครั้ง เป็นอีกครั้งที่เราสนุกสนานไปกับการใช้หลาย ๆ หน้าต่างเพื่อทำงานหลายอย่างพร้อมกัน โดยไม่ต้องกังวลกับว่าต้องหาทางแก้อะไรเพิ่มเติม เรายังสามารถพกพามันไปไหนต่อไหนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นสรุปแล้วว่าควรเลือก iPad หรือ Surface Pro 8 กันแน่? เราไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอนาคตของ iPadOS จะเป็นอย่างไร อย่างที่เราเคยมั่นใจในอนาคตของแท็บเล็ตระดับไฮเอนด์ของ Apple แต่ก่อน แต่นี่หมายความว่า Apple จะยังคงผลิตอุปกรณ์แท็บเล็ตโดยเฉพาะที่ดีที่สุดที่หาซื้อได้ออกมาอยู่ดี หากคุณกำลังลังเลว่าจะเลือก Surface Pro 8 หรือ iPad Pro ดี เราคงบอกได้แค่ว่า ทั้งสองตัวนี้ดีทั้งคู่ ตราบเท่าที่คุณรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร iPad Pro ทำอะไรได้หลายอย่าง แต่มีเพียงไม่กี่อย่างที่ทำได้ดีจริง ๆ ส่วนSurface Pro 8 นั้น แม้จะทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกันได้ดี แต่ก็ต้องเผื่อที่สำหรับการหน่วงที่จะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะได้คอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบหากเลือกใช้ Surface Pro 8 หรือ 80% หากใช้ iPad Pro อยู่ดี

ที่มา: 
https://zd.net/3FUAC8J

สนใจสั่งซื้อ 
Microsoft Surface Pro 8 คลิก

ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์