การจัดการ Tower Server ให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
Please wait...
SOLUTIONS CORNER
การจัดการ Tower Server ให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

การจัดการ Tower Server ให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น



 

การเลือกเซิร์ฟเวอร์เครื่องแรก.....จะไม่ทำให้คุณต้องปวดหัวอีกต่อไป
 
Cloud Service ซึ่งเป็นบริการที่มาพร้อมกับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ทั้งในรูปแบบที่ใช้สาย (Fiber Optic) และแบบไร้สาย (3G, 4G) กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ แต่เซิร์ฟเวอร์แบบ Tower ในแบบดั้งเดิมก็ยังคงมีบทบาทที่สำคัญ ในการให้บริการที่จำเป็นภายในองค์กร นำมาซึ่งข้อดีในแง่ของระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล, ประสิทธิภาพการทำงานและความพร้อมใช้งาน - นอกจากนี้ยังรวมถึงและการติดตั้งที่ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง และด้วยโมเดลในระดับ Entry ที่มีราคาไม่ถึง 600 ปอนด์
 
การออกแบบที่เน้นถึงการประหยัดพื้นที่ (Space-Saving Design) จะช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ขนาดกะทัดรัดเหล่านี้ สามารถปรับเข้ากับสภาพแวดล้อมของสำนักงานที่มีขนาดเล็กที่สุดได้อย่างลงตัว และรุ่นล่าสุดที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการจัดการกับแอปพลิเคชั่นที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดย่อม (Small Business) ดูเหมือนว่าพวกมันจะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็ก ที่ต้องการอัพเกรดระบบเครือข่ายที่ทำงานแบบ PC-based ของพวกเขา ด้วยเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ขององค์กรโดยเฉพาะนอกจากนี้ มันยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่กำลังมองหาการปรับใช้บริการแบบ on-site IT service ให้กับพนักงานที่อยู่ในสำนักงานที่อยู่ห่างไกลหรือสาขา โดยที่ไม่จำเป็นต้องยกเครื่องไปที่ศูนย์บริการ

 

แล้วมันควรจะเป็น CPU แบบไหน ?


ถ้าหากคุณไม่ได้มีการวางแผนที่จะใช้งานแอพพลิเคชั่นทางธุรกิจสำหรับงานที่หนักมากๆ  (เช่น ฐานข้อมูลขนาดใหญ่) เซิร์ฟเวอร์ที่มาพร้อมกับซ็อกเก็ตซีพียู(CPU Socket) แบบ Single จะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้อย่างง่ายดาย และโมเดลที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ นั่นก็คือผลิตภัณฑ์ที่มีซีพียูในตระกูล Intel Xeon E3-1200 โดยเฉพาะตัวเลือกที่มีหลากหลายของ v6
 
โดยตระกูลที่ว่านี้ มีให้เลือกด้วยกันถึง 8 รุ่น โดยมีความถี่ของสัญญาณนาฬิกาอยู่ในช่วงตั้งแต่ 3GHz ถึง 3.9GHz มันอาจจะเป็นการล่อลวงให้คุณมุ่งไปสู่เครื่องที่มีความเร็วมากที่สุด แต่นั่นก็อาจจะดูว่าจงใจมากเกินไปหน่อย: ในระดับ Entry ของ E3-1220 v6 นั้น เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่มีขนาดเล็กโดยทั่วไป และยังสามารถที่จะข้ามไปยังระดับสูงสุดของ รุ่น E3-1280 v6 ซึ่งอาจจะต้องทำให้คุณมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 500 ปอนด์
 
ซีพียูทุกรุ่นมีหน่วยประมวลผลที่มีการทำงานถึงสี่ core แต่สำหรับงานที่ต้องการการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพและความรวดเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิม เราแนะนำให้คุณเลือกรุ่นที่รองรับเทคโนโลยี Hyper-threading ของ Intel โดยสามารถเรียกใช้งานที่ต้องใช้พลังการประมวลผลได้พร้อมๆ กันถึง 8 งาน โดยที่ไม่ทำให้เครื่องทำงานช้าลง นอกจากนี้แล้ว ควรที่จะหลีกเลี่ยงรุ่นที่มีหมายเลขรุ่นที่ลงท้ายด้วย "-5" เพราะรุ่นเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การรองรับการทำงานที่ต้องใช้ประสิทธิภาพที่สูงซึ่งเหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ประเภท เวิร์กสเตชัน (Workstation) ที่มาพร้อมกับ Intel HD Graphics P630 ในตัวโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่ม
 
หากคุณต้องการจำกัดงบประมาณ คุณสามารถที่จะประหยัดเงินได้ โดยเลือกรุ่นที่เก่ากว่า E3-1200 v5 ซึ่งจะยังคงมีประสิทธิภาพมากกว่าเซิร์ฟเวอร์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กโดยทั่วไป แต่คุณจะพลาดการสนับสนุนหน่วยความจำแบบ DDR4 ที่ความเร็วสูงสุด 2400 MHz โดยที่รุ่น v6 นั้น จะเป็นรุ่นประหยัดพลังงานได้มากกว่า ซึ่งอาจจะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้เล็กน้อย สำหรับใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าของคุณ

 

พลังงานและเสียงรบกวน


แม้แต่ Towers ในระดับ Entry-level ก็ยังถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การเป็นพีซีแบบ Always On Business และมีคุณสมบัติที่คุณจะไม่สามารถพบได้ในพีซีส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังมุ่งเน้นไปที่การลดการใช้พลังงาน และคุณก็จะได้พบกับทางเลือกของ Power Supply Unit (PSU) ที่มีการจัดอันดับมาตรฐาน 80+ ตั้งแต่ระดับGold ไปจนถึง Platinum ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า PSU นั้นมีประสิทธิภาพเพียงใดในการแปลง AC เป็น DC จากการเลือกใช้รุ่น Platinum มันสามารถให้ประสิทธิภาพการทำงานของ PSU ได้สูงสุดถึง 92% โดยคะแนนที่สูงนั้น หมายถึงการใช้พลังงานที่ลดลง, การเกิดความร้อนก็น้อยลง รวมถึงยังเป็นการลดเสียงรบกวนจากพัดลมลงได้ด้วยเช่นกัน
 
ผู้ออกแบบระบบยังให้ความสำคัญกับการไหลเวียนของอากาศภายใน ซึ่งช่วยให้เซิร์ฟเวอร์แบบทาวเวอร์ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยไม่จำเป็นต้องมีพัดลมขนาดใหญ่และส่งเสียงดัง ในการวัดระดับเสียง เราเลือกใช้แอพพลิเคชั่นที่ยอดเยี่ยมอย่าง iOS SPLnFFT Noise Meter ที่คุณเองก็สามารถหามาใช้ได้ ในราคาเพียง 3.99 ปอนด์ จาก App Store
 
เราไม่แนะนำให้คุณหาที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์ใหม่ของคุณ โดยการวางไว้บนพื้นหรือแม้แต่บริเวณใต้โต๊ะ เนื่องจากมันจะดูดซับสิ่งสกปรกทุกประเภท รวมถึงเส้นใยของพรมและฝุ่นละออง แต่ถ้าหากคุณไม่มีทางเลือกอื่น โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ทำความสะอาดพัดลม, Drive Bay และอุปกรณ์ระบายความร้อนให้กับซีพียู (CPU Heatsink) ทุกๆ สองถึงสามเดือน มิฉะนั้นเซิร์ฟเวอร์ของคุณอาจจะมีความเสี่ยง ที่จะเกิดการอุดตัน จนส่งผลให้อุณหภูมิภายในสูงมากจนเกินไป และส่งผลให้ระบบการทำงานล้มเหลวในที่สุด - พร้อมด้วยผลลัพธ์ที่ร้ายแรงอื่นๆ ที่อาจจะตามมา

 

พื้นที่จัดเก็บข้อมูล


เซิร์ฟเวอร์ที่มีรูปแบบการใช้งานแบบ In-house สามารถใช้เป็นแหล่งเก็บข้อมูลส่วนกลางที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ด้วยข้อเสนอในส่วนของพื้นที่จัดเก็บที่มากขึ้นและสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วกว่าบริการคลาวด์ คุณอาจจะต้องคิดเผื่อไว้ล่วงหน้า เมื่อต้องตัดสินใจเลือกฮาร์ดดิสก์ให้กับเซิร์ฟเวอร์ของคุณ และเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันมีค่าความสามารถในการรับสัญญาณหรือบันทึก (Headroom) ที่เพียงพอสำหรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนของไดร์ฟ SATA ที่มีฟอร์มแฟคเตอร์ขนาดใหญ่ (LFF) แสดงให้เห็นถึงมูลค่าของมันได้ดีที่สุด เนื่องจากพวกเขาสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกลง และตอนนี้ก็ยังมีขนาดความจุที่มีให้เลือกถึง 10TB
 
ที่สำคัญก็คือ อย่าลืมคำนึงถึงความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลสำหรับระบบปฏิบัติการของคุณด้วย: ทั้ง Windows Server 2012 R2 ที่มาพร้อมกับโหมดการติดตั้งที่มีระบบติดต่อผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) และ Windows Server 2016 ที่มาพร้อมกับ Desktop Experience ในขณะที่ Business Applications ของคุณ ก็จะกินพื้นที่บนเครื่องอย่างรวดเร็ว ได้เช่นกัน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดตามมาเราขอแนะนำว่า คุณจะต้องมีพื้นที่อย่างน้อย 1TB สำหรับ System Drive ของคุณ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบปฏิบัติการและแอพพลิเคชั่น ให้ลองพิจารณาใช้ดิสก์ Solid-State สำหรับบูทระบบจากไดร์ฟของคุณ โดยมีให้เลือกตั้งแต่ SATA drive ซึ่งสามารถนำมาใช้แทนแบบ Drop-in สำหรับ LFF Disk ขนาด 3.5 นิ้ว, ไปจนถึง SSD NVMe บนมาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ M.2 - โปรดตรวจสอบ SSD group test ล่าสุดของเราในฉบับที่ 275 เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม


 


ปกป้องและการให้บริการ


การเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่มีพื้นที่สำหรับฮาร์ดดิสก์สามหรือสี่ลูก จะช่วยให้สามารถป้องกันการสูญเสียของข้อมูลสำคัญในกรณีที่เกิดความผิดปกติของ Hard disk โดยใช้เทคโนโลยี RAID สำหรับ RAID 1 ที่มีการเอา Hard disk ตั้งแต่ 2 ลูกขึ้นไปมารวมกัน หรือที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Mirror นั้น จะสามารถปกป้องได้เพียงไดร์ฟเดียว ด้วยการเขียนข้อมูลเหมือนกันทั้ง 2 ลูก หากมี Hard disk ลูกไหนเสีย ข้อมูลยังไม่หาย แต่ถ้าหากคุณใช้ดิสก์ตั้งแต่ 3 ลูกขึ้นไป โดย RAID5 นั้น จะช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ของคุณมีคุณสมบัติที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ในขณะที่คุณสามารถเพิ่มไดร์ฟพิเศษลงในอาเรย์ได้ เมื่อคุณต้องการความจุที่เพิ่มขึ้น
 
เซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก ที่มาพร้อมกับ RAID controller ในตัว บนเมนบอร์ดของพวกเขา ผู้ใช้งานจึงไม่จำเป็นต้องหาอุปกรณ์หรือ Hardware เสริม เพื่อให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ รองรับกับการเชื่อมต่อ RAID ได้ ไม่ว่าจะเป็น PERC S130 ของ Dell, Smart Array B140i ของ HPE หรือ C236 chip ของ Intel โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ต่างก็รองรับ Mirrors และ RAID5 ที่สามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแต่งหรือเปลี่ยนแปลงฟังก์ชันการทำงานใด ๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นที่สิ่งที่องค์กรธุรกิจขนาดเล็กต้องการ มีข้อเงื่อนเพียงไขเดียวก็คือ ถ้าคุณต้องการใช้ Hard Disk แบบ SAS: สิ่งเหล่านี้จะมอบประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลที่มากขึ้นและอัตราความล้มเหลวที่ต่ำกว่ารุ่นที่มี Hard Disk แบบ SATA แต่พวกมันก็มีราคาที่แพงกว่ามาก และก็มีเซิร์ฟเวอร์ในระดับ Entry-level เพียงไม่กี่ตัวที่สามารถรองรับมาตรฐานนี้ ดังนั้น คุณอาจจำเป็นที่จะต้องมีงบประมาณสำหรับการ์ดควบคุมอุปกรณ์ (Controller Card) สำหรับ SAS แบบ Standalone
 
นอกจากนี้ ยังต้องตัดสินใจอีกด้วยว่า คุณจำเป็นที่จะต้องใช้ HDD แบบ Hot-swap หรือไม่ สำหรับระบบ Cold-swap ที่ถึงแม้จะมีราคาที่ถูกกว่า แต่ก็ต้องการให้คุณใช้ระบบออฟไลน์ในขณะที่ต้องดำเนินการบำรุงรักษาดิสก์ แต่ถ้าหากคุณต้องการให้เซิร์ฟเวอร์ของคุณทำงานต่อไป ในขณะที่คุณกำลังเปลี่ยนหรืออัพเกรดดิสก์ใน RAID ก็ควรที่จะเลือกใช้ HDD แบบ Hot-swap

ที่มา:
www.itpro.co.uk

ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์