ข้อดีและข้อเสียของ AI
Please wait...
1726202978.png
1731393918.jpg
1732076627.jpg
1730459076.jpg
1730782055.jpg
1730966771.jpg
1731999875.jpg
SOLUTIONS CORNER
ข้อดีและข้อเสียของ AI

ข้อดีและข้อเสียของ AI

ขอบคุณภาพจาก twenty20.com

เราจะมาเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจกัน
 

ข้อดีของ AI

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คาดว่า AI คงเข้ามาอยู่ในภาคส่วนของทั้งผู้บริโภค ภาคธุรกิจ และภาครัฐแล้ว โดยที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลายคนคาดการณ์ว่าเราจะถูกรายล้อมไปด้วยอุปกรณ์ IoT ที่มีความสามารถในการทำให้งานที่ซับซ้อนเสร็จไวขึ้น รวมไปถึงทำงานทั่วไปเช่นกัน โดยพื้นที่ที่ AI จะสามารถเอื้อประโยชน์ให้หลายอย่างก็คือสถานที่ทำงานของเรานั่นเอง

ยกระดับประสิทธิภาพ

ปัจจุบัน ข้อมูลมีความสำคัญต่อธุรกิจพอๆ กับน้ำมัน  ทำให้จำเป็นที่จะต้องมีการประมวลผลข้อมูลอย่างถูกวิธีและว่องไว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ตัวอย่างที่ดีของ AI ประเภทนี้ ก็คือ DeepMind ที่สามารถวินิจฉัยภาวะทางสายตาที่เป็นอันตรายต่อสายตาได้แม่นยำระดับเดียวกับแพทย์ชั้นนำระดับโลก

นอกเหนือจากสถาบันจักษุวิทยาของ UCL และโรงพยาบาลด้านจักษุ Moorfields ในลอนดอนแล้ว การวิจัยของพวกเขาอาจนำไปสู่การนำ AI เข้ามาใช้ในโรงพยาบาลทั่วสหราชอาณาจักร ซึ่งหากใช้ระบบ AI แพทย์จะใช้เวลาน้อยลงในการตรวจสอบฟิล์มดวงตา และสามารถย่นย่อระยะเวลาวินิจฉัยผู้ป่วยลงเหลือเพียงไม่กี่วินาที


ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error)

แม้แต่คนที่เก่งที่สุดก็ผิดพลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นการเสียสมาธิหรือทำพลาดในเรื่องง่ายๆ  แต่หุ่นยนต์ AI ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่พิเศษนี้โดยเฉพาะจะไม่เผยความผิดพลาดเหล่านี้ออกมา

Ocado ซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติในคลังสินค้าของตน ซึ่งมันทำหน้าที่ควบคุมหุ่นยนต์หลายพันตัว และสื่อสารกับหุ่นยนต์เหล่านี้ด้วยความเร็วไวกว่าวินาทีถึงสิบเท่าเพื่อประสานงานด้านการขนส่งพัสดุหลายแสนกล่อง แต่ก็ยังมีจุดน่าสังเกตว่าระบบไม่สามารถป้องกันความผิดพลาดได้โดยสมบูรณ์ - ในเดือนกรกฎาคมปี 2021 ร้านค้าปลีกของชำออนไลน์ถูกบังคับให้ยกเลิกคำสั่งซื้อนับพันหลังจากเกิดเหตุหุ่นยนต์ชนกันในศูนย์ปฏิบัติงานและทำให้เกิดเหตุไฟไหม้


เทคโนโลยีอัจฉริยะ 

เช่นเดียวกันกับ Ocado ...ในอนาคต AI จะถูกใช้ในการขับเคลื่อนบริการอัตโนมัติอีกหลายๆ อย่าง อาจจะเป็นเมืองอัจฉริยะที่คาดว่าจะช่วยยกระดับสิ่งแวดล้อมของเราขึ้น หรือรถขับเคลื่อนได้เองที่ใช้ AI ในการนำทางและตรวจจับสิ่งกีดขวาง

AI มีความสามารถในการประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งจะมีความสำคัญต่อการทำงานของเทคโนโลยีอัจฉริยะหลาย ๆ ประเภทและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่แล้วนั้นอยู่ในสมาร์ทโฟนตัวท็อปหลาย ๆ รุ่น โดยสมาร์ทโฟนเหล่านี้จะมี AI ที่ทำงานอยู่ในฉากหลัง คอยปรับการตั้งค่าของโทรศัพท์อย่างต่อเนื่องเพื่อคงประสิทธิภาพสูงสุดหรืออายุการใช้งานแบตเตอรี่เอาไว้


ข้อเสียของ AI

ข้อดีทุกประการของเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือตัวที่มีอยู่แล้วนั้นอาจเป็นดาบสองคมที่ถูกเอาไปใช้ทำเรื่องไม่ดี หรือไม่ตัวเทคโนโลยีก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง AI เองก็ไม่ต่างกัน 

ในปี 2016 หน่วยงานที่เป็นการรวมตัวกันทั่วทั้งอุตสาหกรรมได้ถูกก่อตั้งขึ้น โดยมียักษ์ใหญ่แห่งซิลิคอนวัลเลย์ทั้งห้ารวมอยู่ในนั้นด้วย หน่วยงานดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่าภาคี Partnership on Artificial Intelligence to Benefit People and Society โดยทำงานเพื่อเสริมสร้างความเสมอภาคและจริยธรรมในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้มีศักยภาพในการก่อให้เกิด disruption พอๆ กับก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้งาน


AI ที่ช่วยตัดสินใจในสถานที่ทำงาน 

ความว่องไวที่มาพร้อมประสิทธิภาพของ AI ทำให้โปรแกรมเหล่านี้มีความน่าสนใจสำหรับผู้บริหารที่ต้องการสร้างมูลค่าในองค์กรของตนเองมากขึ้น

Watson ของ IBM ถูกนำมาใช้คำนวณการตัดสินใจว่าพนักงานสมควรได้รับการขึ้นเงินเดือน ได้โบนัส หรือเลื่อนตำแหน่งหรือไม่ โดยดูจากประสบการณ์และโปรเจกต์ที่ผ่านมาของพนักงานเพื่อตัดสินคุณภาพและทักษะที่บุคคลดังกล่าวอาจให้ได้กับบริษัทในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การใช้​ซอฟต์แวร์ตัดสินใจในลักษณะนี้ทำให้เกิดความกังวลขึ้น สหพันธ์สหภาพแรงงาน (Trades Union Congress) ซึ่งเป็นสหพันธ์ที่เป็นตัวแทนของสหภาพแรงงานส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร ได้เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อปกป้องพนักงานจากเทคโนโลยีประเภทนี้

นอกจากนี้ยังมีการแนะนำให้นายจ้างปรึกษาสหภาพแรงงานก่อนที่จะปรับมาใช้เทคโนโลยีดังกล่าว

Frances O'Grady เลขาธิการแห่ง TUC กล่าวว่า "เราคาดการณ์ว่าหากปล่อยเรื่องนี้ไว้โดยไม่ได้รับการตรวจสอบ การใช้ AI เพื่อบริหารจัดการผู้คนจะทำให้การทำงานกลายเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยวและแยกขาดจากผู้คนมากขึ้น ความสุขจากการได้สัมผัสสังคมมนุษย์จะหายไป”


การสูญเสียงาน

การที่ AI เข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ ถือเป็นข้อเสียอันดับหนึ่งของ AI ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเลิกจ้างอย่างกว้างขวางขณะที่พนักงานพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชนะเครื่องจักร

แม้ผู้คนจำนวนมากจะเชื่อว่าจะเกิดสถานการณ์อันน่าหดหู่นี้ขึ้น Gartner คาดการณ์ว่า AI จะสร้างงานมากกว่า ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2017 นักวิเคราะห์คาดว่า AI จะสร้างงานถึง 2.3 ล้านตำแหน่งภายในปี 2020 และกำจัดตำแหน่งงานอีก 1.8 ล้านตำแหน่ง

Svetlana Sicular รองประธานฝ่ายวิจัยของ Gartner กล่าวว่า "นวัตกรรมที่สำคัญหลายอย่างในอดีตต่างก็ถูกโยงเข้ากับยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนผ่านของช่วงการสูญเสียงานชั่วคราวอยู่เสมอ ตามมาด้วยการฟื้นตัว การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและ AI ก็อาจเดินตามรอยนี้ด้วยเหมือนกัน"

"โชคร้ายที่คำเตือนเกี่ยวกับหายนะการตกงานส่วนใหญ่ชอบทำให้เกิดความสับสนระหว่าง AI กับระบบอัตโนมัติ ซึ่งบดบังคุณประโยชน์ที่ดีที่สุดของ AI ไป - ก็คือ AI Augmentation ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ ทั้งคู่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน"

รายงานในปี 2018 จาก PwC แย้งว่า AI จะสร้างงานได้มากพอ ๆ กับที่มันคัดกรองงานบางประเภทออกไปนั่นแหละ โดยมีกรณีที่ข้อถกเถียงดังกล่าวถูกสะท้อนให้เห็นอีกครั้งเมื่อเดือนตุลาคม 2020 ในรายงาน Future of Jobs โดย World Economic Forum (WEF) ซึ่ง NGOs รายงานว่า โรคโควิด-19 จะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ และงานที่อันตรายไปเป็นรูปแบบงานอัตโนมัติ AI จะนำไปสู่การเติบโตของงานในระยะยาว

ภายในปี 2025 ตำแหน่งงานประมาณ 85 ล้านตำแหน่งจะหายไป และมีงานใหม่ 97 ล้านตำแหน่งเข้ามาแทนใน 26 ประเทศ

WEF ยังคาดการณ์ว่าในอีกสี่ปีข้างหน้า "ครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งหมด จะต้องเพิ่มพูนทักษะหรือมีทักษะใหม่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานแบบใหม่ที่เปลี่ยนไป" ทักษะด้านหนึ่งที่ควรค่าแก่การพัฒนาสำหรับอนาคตที่มี AI คือทักษะด้านข้อมูล แต่ทักษะเชิง Soft Skill ก็ไม่ควรละเลยเช่นกัน John Whittingdale OBE รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อและข้อมูล อธิบายว่า Soft Skill นั้น “มีความสำคัญอย่างยิ่ง” และเสริมว่า “หากไม่มีทักษะเหล่านี้ ข้อมูลอาจถูกตีความผิดๆ หรือเกิดการสื่อสารผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจและการตัดสินใจ"
 

ที่มา: https://bit.ly/3jCKQk0
ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์