12 เครื่องมือที่ต้องมีสำหรับการ Work from Home
เครื่องมือ Work From Home เหล่านี้ช่วยเพิ่มผลิตภาพและความรับผิดชอบได้ พร้อมช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวลงอีกด้วย
การมาของ COVID-19 นำมาสู่การทำงานระยะไกลขนานใหญ่ อันเนื่องมาจากการที่บริษัทต่างๆ เลือกส่งพนักงานกลับไปทำงานที่บ้านเพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส ความกะทันหันดังกล่าวถือเป็นแรงสั่นสะเทือนในหมู่พนักงาน นายจ้างและเครือข่ายที่พวกเขาพึ่งพา แต่บางคนก็ปรับตัวได้ทันท่วงที แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วไวรัสจะหายไป แต่การทำงานจากระยะไกลจะยังคงอยู่อยู่ดี
หลังจากมีปัญหาติดขัดด้านการเชื่อมต่อเล็ก ๆ น้อย ๆ ปัญหาความมั่นคงปลอดภัยและปัญหาอื่นๆ บริษัทขนาดใหญ่จำนานมากขึ้นก็ได้เปลี่ยนไปใช้รูปแบบการทำงานแบบ Work from Home อย่างถาวร ทั้ง Twitter, Square, Coinbase และ Facebook ต่างก็ประกาศใช้นโยบาย Work from Home สำหรับพนักงานบางส่วนหรือพนักงานทั้งหมดอย่างถาวร
เมื่อดูแล้วมีท่าว่ารูปแบบการทำงาน Work From Home จะอยู่กับเราไปอีกนาน ก็เตรียมทีมของคุณให้พร้อมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเครื่องมือที่ต้องมีเหล่านี้ในการทำงานจากที่บ้านเลย
การบริหารเวลา
การบริหารเวลาเป็นอะไรที่ยุ่งยาก แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ประจวบพอเหมาะที่สุดก็ตาม เมื่อคุณ Work From Home คุณจะมีปัญหาอื่น ๆ เข้ามากวนใจเสมอ เช่นเด็ก ๆ ที่วิ่งไปมา เสียงกดออดที่ประตู เสียงทีวีดังอยู่ในฉากหลัง และแฟนที่เข้ามาขัดจังหวะตอนทำงาน สิ่งรบกวนเหล่านี้ทำให้ดูเหมือนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำงานอะไรให้เสร็จเมื่อทำงานจากระยะไกล
โชคดีที่ยังมีเครื่องมือช่วยบริหารเวลาเหล่าซึ่งช่วยให้คุณวางแผนแต่ละวันและสัปดาห์ได้
ProofHub
ราคา: $ 50- $ 99 / เดือน หรือ $ 540 - $ 1,068 / ปี
ทดลองใช้: 14 วัน
ProofHub เป็นแพ็คเกจแบบครบวงจรที่ช่วยเรื่องการบริหารเวลาและงานต่างๆ รายงานของโปรเจ็กต์ต่างๆ การพิสูจน์ไฟล์ หรือแม้แต่ช่วยประมาณเวลาสำหรับงาน ProofHub ยังมีป้ายบอร์ดคัมบังและแผนภาพแกนต์ที่ช่วยให้ง่ายต่อการวางแผนและติดตามงานอย่างเห็นภาพซึ่งทำให้คุณไม่พลาดกำหนดส่งงาน บอร์ดและแผนภูมิภาพเหล่านี้จะช่วยให้ทีมเข้าใจสถานะปัจจุบันของโปรเจ็กต์ได้อย่างรวดเร็ว
ProofHub เป็นมากกว่าเครื่องมือติดตามงาน มันยังช่วยสนับสนุนการทำงานร่วมกันแบบเป็นทีมด้วยฟีเจอร์แชทที่มีทั้งแบบตัวต่อตัวและแบบกลุ่มอีกด้วย
ฟีเจอร์หลักอื่นๆ ของ ProofHub ยังมี:
-
ฟีเจอร์พิสูจน์อักษรหน้า Interface ที่มีให้เขียนความเห็นต่อโปรเจ็กต์ด้วยเครื่องมือ Markup
-
ฟีเจอร์บทบาท (Roles) ที่ใส่มาเพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนในทีมจะเข้าถึงโปรเจ็กต์ของตนได้อย่างถูกต้อง
-
ฟีเจอร์แชร์ไฟล์และเอกสาร
-
ฟีเจอร์หน้า Interface หลายภาษาสำหรับทีมที่มีหลายเชื้อชาติ
-
ฟีเจอร์จำกัด IP เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
Hubstaff
ราคา: $ 0- $ 20 / ผู้ใช้ / เดือน หรือ $ 0- $ 200 / ผู้ใช้ / ปี
ทดลองใช้: 14 วัน
Hubstaff สร้างแดชบอร์ดสำหรับติดตามเวลา ตรวจสอบกิจกรรมของพนักงาน การจัดการงานและการทำงานร่วมกัน เครื่องมือนี้ช่วยให้บริษัทต่างๆ เห็นประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน จำนวนการกดแป้นพิมพ์และการเคลื่อนไหวของเมาส์ นอกจากนี้ยังจับภาพหน้าจอเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานจะไม่ใช้เวลาของบริษัทในทางที่ผิด ซึ่งถ้าพนักงานลืมออกจากระบบแล้วอยู่ในเว็บไซต์ส่วนตัวหรือทำกิจกรรมส่วนตัวอยู่ พวกเขาสามารถลบภาพหน้าจอและลบเวลาออกได้
Hubstaff ทำงานผ่านโปรแกรมหน้าจอ ผ่านเว็บ และแอปพลิเคชันในมือถือ นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้อีกสามสิบแอปพลิเคชัน รวมถึง Asana, Jira, Github และ Paypal ซึ่งยิ่งช่วยให้มีความยืดหยุ่น
ฟีเจอร์หลักอื่นๆ ของ Hubstaff ยังมี:
-
ระบบติดตาม GPS สำหรับเวลาพนักงานอยู่ระหว่างทางบนถนนและตอนลงพื้นที่
-
ระบบติดตามเวลาอัตโนมัติพร้อม Geofencing (ระบบกั้นรั้วสร้างขอบเขตเฉพาะ) ซึ่งทำให้นาฬิกาจะเริ่มเดินก็ต่อเมื่อพนักงานเข้ามาในพื้นที่ทำงานแล้ว
-
ระบบติดตามการจ่ายเงินเดือน
-
แอปพลิเคชันกำหนดตารางเวลาออนไลน์ที่ติดตามการมีส่วนร่วม และนับผู้ที่เข้าร่วมในวันนั้น
-
งบโปรเจ็กต์และการออกใบแจ้งหนี้
Harvest
ราคา: $ 12 / เดือน / ผู้ใช้ หรือ $ 129.60 / ปี / ผู้ใช้ (พร้อมส่วนลดสำหรับทีมขนาดใหญ่)
ทดลองใช้: 30 วัน (จำกัดเพียงผู้ใช้ 1 ท่านและผู้เข้าร่วมอีก 2 ท่าน)
Harvest อาจไม่ฮิตเท่ากับแอปพลิเคชันบางตัวในรายชื่อของเรา แต่ก็มีธุรกิจและคนทั่วไปจำนวนไม่น้อยที่ใช้งานมันอยู่ เครื่องมือดังกล่าวช่วยให้พวกเขาสามารถจัดการโปรเจ็กต์และทีมของตนได้โดยการติดตามเวลาและค่าใช้จ่ายโปรเจ็กต์ แล้วยังสามารถสร้างรายงานด้านสุขภาพที่อ่านง่าย นอกจากนี้ยังช่วยให้เรื่องการวางบิลง่ายขึ้นด้วยระบบใบแจ้งหนี้แบบกำหนดเองที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินออนไลน์ได้
Harvest สามารถบริหารจัดการเวลาของพนักงานด้วยไทม์ชีทที่แสดงระยะเวลาการทำงานในโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ของพนักงาน แล้วยังสามารถดึงข้อมูลดิบจากไทม์ชีทออกมานำเสนอในรูปแบบที่ดึงดูดสายตาเพื่อให้ง่ายต่อการดูและการวิเคราะห์อีกด้วย
ฟีเจอร์หลักอื่นๆ ของ Harvest ยังมี:
-
ฟีเจอร์คาดการณ์เวลาในอนาคตของทีม
-
บูรณาการกับแอพด้าน Productivity อื่นๆ เช่น Asana, Trello, Basecamp และอื่น ๆ
การสื่อสารในทีม
พนักงานจะทำอย่างไรเมื่อพวกเขาไม่อาจเดินไปหาสมาชิกในทีมคนอื่นที่คอกหรือในออฟฟิศของคนคนนั้นเพื่อถามคำถามสำคัญ (หรืออาจไม่สำคัญเท่าไร) ในโลกแห่งการทำงานระยะไกล องค์กรต่างๆจำต้องมีแชทออนไลน์เพื่อให้สื่อสารกันได้ง่ายและเข้าถึงได้ ถ้ายิ่งราคาไม่แพงและสนุกด้วยก็ถือเป็นโบนัส
ต่อไปนี้คือตัวเลือกยอดนิยมสองสามตัวที่จะช่วยให้ทีมระยะไกลของคุณสามารถสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง
Microsoft Teams
ราคา: $ 5- $ 20 / เดือน / ผู้ใช้ (รวมอยู่ใน Microsoft 365 Business)
ทดลองใช้: 1 เดือนเมื่อใช้ Microsoft 365 Business Standard หรือ Business Premium
ทีมที่ทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ขึ้นมาอาจมี Microsoft 365 (หรือชื่อเดิมคือ Office 365) อยู่แล้ว ถ้าพวกคุณบางคนมี Microsoft Teams อยู่แล้ว ก็เป็นเพราะว่าจะมีแอปพลิเคชันนี้ได้ต้องมี Microsoft 365 ก่อนเท่านั้น
สิ่งเด่น ๆ ที่สุดที่ Microsoft Teams มีให้คือฟีเจอร์แชท พนักงานทุกคนสามารถแชทกับคนอื่นๆ ในบริษัทแบบเป็นกลุ่มหรือตัวต่อตัวได้ทันที ในแชทเหล่านี้ พนักงานยังสามารถแชร์รูปภาพและไฟล์ได้โดยไม่จำเป็นต้องส่งไฟล์แนบอีเมลและรอการตอบกลับอีกต่อไป ผู้ใช้ยังสามารถจัดระเบียบทีมและไฟล์ของตนได้ ซึ่งทำให้การสื่อสารและการทำงานร่วมกันง่ายขึ้นไปอีก
Microsoft Teams ยังมีฟีเจอร์ Meet ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถจัดการประชุมหรือเข้าร่วมการประชุมออนไลน์กับผู้ใช้ 2-10,000 คน ซึ่งหากผู้เข้าร่วมอยู่ระหว่างการเดินทางและไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมทางวิดีโอได้ ยังสามารถใช้หมายเลขโทรเข้าแบบทั่วโลกเพื่อเข้าร่วมผ่านเสียงของสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย ผู้ใช้ยังสามารถแชร์เอกสารและหน้าจอของพวกเขาระหว่างการประชุม ซึ่งทำให้การทำงานร่วมกันง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
อีกหนึ่งสิ่งที่มีประโยชน์มากของ Teams ก็คือหน้าจอ Interface ทำงานร่วมกันที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถเปลี่ยนเนื้อในเอกสารหรือรูปภาพได้ทันที
และขั้นกว่าของฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ก็คือการที่ Teams ยังให้การเข้าถึงแอปพลิเคชันอื่นๆทั้งหมดซึ่งรวมไปถึง Microsoft 365, Onedrive, SharePoint และแอปพลิเคชัน Microsoft Office แบบพรีเมียมอีกด้วย
ฟีเจอร์หลักอื่นๆ ที่มีประโยชน์ของ Microsoft Teams ยังมี:
-
ฟีเจอร์เปลี่ยนพื้นหลังได้ตามใจ
-
ฟีเจอร์แชร์พื้นหลังการประชุม
-
มีภาษามากถึง 53 ภาษา
-
ระบบบูรณาการแอปพลิเคชันกับการทำงาน
Google Chat
ราคา: $ 4.20 - $ 18 / เดือน / ผู้ใช้ (รวมอยู่ใน Google Workspace)
ทดลองใช้: 14 วัน
เครื่องมือนี้คล้าย ๆ กับ Microsoft Teams ตรงที่บริษัทที่ใช้ Google Workspace อยู่แล้วเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าถึง Google Chat ได้
อีกจุดที่เหมือนกับ Microsoft Teams ก็คือ คุณสามารถแชทแบบตัวต่อตัวหรือแชทแบบกลุ่มใน Google Chat ได้ แล้วยังสามารถแตกแชทกลุ่มออกเป็น ‘ห้อง’ หลายๆ ห้องเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีแต่คนที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะเห็นแชทและเอกสารที่แชร์มา
วิธีการแชร์เอกสารก็ง่าย เพียงใช้ Google Docs, Sheets, Slides เท่านั้น ซึ่งเมื่อคุณแชร์ไฟล์เอกสารลงไปใน Google Chat ทุกคนจะสามารถดูเอกสารนั้นได้
Google Chat ยังสามารถทำงานแยกได้แบบเดี่ยว ๆ บนเดสก์ท็อปหรือมือถือของคุณ แล้วยังทำงานได้บน Gmail โดยตรง ทำให้ลดจำนวนแอปพลิเคชันที่ต้องเปิดลงได้ทันที
ฟีเจอร์ต่อไปนี้เป็นส่วนเสริมเข้ามาที่มีรวมอยู่ใน Google Workspace:
-
ฟีเจอร์ปรับแต่งและรักษาความปลอดภัยให้จดหมายธุรกิจ
-
ยอดจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมได้มากสุดถึง 250 คน
-
พื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์อย่างไม่จำกัด
-
ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง
-
Google Meet (รวมอยู่ด้านล่าง)
Slack
ราคา: $ 0- $ 15 / เดือน / ผู้ใช้
ทดลองใช้ฟรี: บริการพื้นฐานฟรี
Slack ถือเป็นหนึ่งในชื่อที่ใหญ่ที่สุดในวงการแอปพลิเคชันแชทแบบทั้งทีม ด้วยความที่ทั้งใช้งานง่ายและช่วยกรองบทสนทนาให้ผู้ใช้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องโดยถูกถล่มด้วยข้อความที่ไม่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้มันยังมีตัวเลือกสนุก ๆ มากมายเช่นการโต้ตอบด้วยอิโมจิ นอกจากนี้ตัว Donut app ของมันยังช่วยแนะนำพนักงานให้รู้จักกัน และสนับสนุนการรวมตัวเพื่อทำความรู้จักกันแบบตัวต่อตัวหรือแบบเสมือนอีกด้วย
Slack ยังเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันแชทที่สามารถปรับขนาดได้ ด้วยตัวบริการที่มีตั้งแต่แบบฟรีไปจนถึงแพ็คเกจสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ ตัวฟรีนั้นถือเป็นตัวเริ่มต้นที่ดีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ด้วยมีการวิดีโอคอลแบบตัวต่อตัว การบูรณาการกับแอปพลิเคชันได้ถึง 10 ตัว การเข้าถึงข้อความที่สมาชิกในทีมส่งมาได้ถึง 10,000 ข้อความ และพื้นที่จัดเก็บ 5 GB ต่อผู้ใช้และมากกว่านั้น ส่วนแพ็คเกจที่มีราคาแพงขึ้นจะเพิ่มการดูประวัติข้อความย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด การบูรณาการแอปพลิเคชันโดยไม่จำกัด พื้นที่จัดเก็บ 10 GB ต่อผู้ใช้ การแบ่งส่วนแบบปรับแต่งได้ รวมไปถึงการรองรับข้อกำหนด HIPAA และอื่นๆ เข้ามา
การประชุมทางวิดีโอ
ไม่ว่าการประชุมจะน่ารำคาญแค่ไหน บางครั้งมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการโทรก็อาจจะช่วยไม่ได้เช่นกัน การประชุมแบบเจอหน้าอาจเป็นทางเลือกเดียวในช่วงเวลาปกติ แต่ในยุคนี้ การประชุมเสมือนได้เข้ามาแทนที่การประชุมในรูปแบบธรรมดาในโลกปัจจุบันที่ซึ่งที่ทำงานกลายเป็นต้องเว้นระยะห่างทางสังคม
ต่อไปนี้คือตัวเลือกยอดนิยมของแอปพลิเคชันประชุมทางวิดีโอสำหรับพนักงานที่กระจัดกระจายไปของคุณ
Google Meet
ราคา: $ 4.20 - $ 18 /เดือน/ผู้ใช้
ทดลองใช้: 14 วัน
Google Meet เป็นส่วนหนึ่งของชุด Google Workplace เช่นเดียวกันกับ Google Chat และฟีเจอร์ที่ดีที่สุดประการหนึ่งของมันก็เหมือนกับ Google Chat ซึ่งก็คือช่วยอำนวยความสะดวกในการแชร์ไฟล์และทำงานร่วมกันระหว่างประชุม นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเปิด Google Meet ได้โดยตรงจาก Google Chat หากต้องการ
ความยืดหยุ่นคืออีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ Meet อันเนื่องมาจากการที่มีทั้งแอปพลิเคชันบนมือถือและหมายเลขโทรเข้าสำหรับผู้เข้าร่วมการประชุมที่กำลังเดินทาง องค์กรยังสามารถบูรณาการแอปพลิเคชันอื่น ๆ เข้ามาใช้งานกับ Google Meet ได้อีกด้วย
Zoom
ราคา: ฟรี - $ 40 /เดือน/ลิขสิทธิ์
ทดลองใช้: บริการพื้นฐานฟรี
ไม่มีบริษัทใดได้ประโยชน์จากการปฏิวัติการทำงานระยะไกลไปมากกว่า Zoom มันเปลี่ยนจากโนบอดี้มาเป็นคนดังในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์อย่างเข้าใจได้ว่าทำไม
ตัวฟรีของ Zoom มีการประชุมแบบตัวต่อตัวแบบไม่จำกัดให้ และมีการประชุมกลุ่มที่รองรับได้ถึง 100 คนเป็นเวลาสูงสุด 40 นาที สำหรับธุรกิจขนาดเล็กบางที่ นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาต้องการ
แผนแบบตัวชำระเงินมีฟีเจอร์เพิ่มเติมเข้ามา เช่นเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมให้มากสุดถึง 300 คน การประชุมกลุ่มโดยไม่จำกัดเวลา การสตรีมโซเชียลมีเดีย การบันทึกบนคลาวด์ การจัดการโดเมน และฟีเจอร์การโทรแบบไม่จำกัดในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา Zoom ยังก้าวไปอีกขั้นด้วยฟีเจอร์ที่ช่วยให้การประชุมสนุกขึ้นเล็กน้อย เช่นภาพพื้นหลังและการประชุมโฮโลแกรม AR ที่กำลังจะมาในไม่ช้า
GoToMeeting
ราคา: $ 14- $ 19 / ผู้จัดประชุม / เดือน
ทดลองใช้: 14 วัน
อีกหนึ่งแอปพลิเคชันประชุมทางวิดีโอแบบสแตนด์อโลนที่คุ้มค่าก็คือ GoToMeeting ด้วยราคาระดับโปรเฟสชันนัลเพียง $14 ผู้จัดประชุม 1 บัญชีก็สามารถมีผู้เข้าร่วมประชุมได้ถึง 150 คน โดยที่ผู้เข้าร่วมไม่จำเป็นต้องมีบัญชี GoToMeeting ของตนเองเพื่อเข้าร่วมแต่อย่างใด
ระดับโปรเฟสชันนัลมีฟีเจอร์ให้เลือกใช้มากมายในราคาระดับนี้ รวมไปถึงวิดีโอ HD การแชร์หน้าจอ การโทรเข้าการประชุม การประชุมแบบไม่จำกัดระยะเวลา แอปพลิเคชันในมือถือ การเข้ารหัส SSL และเข้ารหัส 256-bit และการบูรณาการเข้ากับแอปพลิเคชันหลายตัว
ถ้าเพิ่มขึ้นเป็นระดับธุรกิจก็จะเพิ่มฟีเจอร์ที่มีประโยชน์อื่น ๆ อีก เช่นฟีเจอร์ผู้จัดงานร่วม การถอดเสียง การเปลี่ยนสไลด์เป็น PDF เครื่องมือวาดภาพ การแชร์แป้นพิมพ์และเมาส์ การบันทึกบนคลาวด์และอื่น ๆ อีกมากมาย
การบริหารจัดการโปรเจ็กต์
ซอฟต์แวร์บริหารจัดการโปรเจ็กต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกบริษัท เนื่องจากการติดตามว่าใครกำลังทำอะไรอยู่และการติดตามความคืบหน้าของแต่ละโปรเจ็กต์เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยความที่ทีมต่างก็ทำงานระยะไกล จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีระบบการจัดการโครงการที่ยอดเยี่ยมเพื่อให้ทุกคนสามารถติดตามความคืบหน้าโปรเจ็กต์แล้วรู้ว่าตนเองต้องโดดเข้ามาทำในส่วนนี้เมื่อไร
สำหรับแอปพลิเคชัน มีตัวเลือกดีๆให้คุณเลือกสรรมากมาย และนี่คือบางส่วนที่เป็นที่นิยมมากที่สุด:
Asana
ราคา: $ 0- $ 30.49 / ผู้ใช้ / เดือน หรือ $ 0- $ 299.88 / ผู้ใช้ / ปี ทดลองใช้: 30 วัน
Asana เป็นระบบบริหารจัดการโปรเจ็กต์ที่มีความคล่องตัวซึ่งทำให้ง่ายต่อการจัดระเบียบและติดตามความคืบหน้าแต่ละโปรเจ็กต์ ผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่าหน้าการสนทนาและการแลกเปลี่ยนความคิดในทีม แล้วยังสามารถปรับการตั้งค่าเพื่อให้ได้รับการแจ้งเตือนแค่เฉพาะเรื่องสำคัญๆ แทนที่จะเป็นทุกการเคลื่อนไหวในระบบ นอกจากนี้ Asana ยังทำงานร่วมกับ Google Suite, Dropbox และ Github ได้อีกด้วย
Asana มีวิธีติดตามมากมายโปรเจ็กต์หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นป้ายคัมบัง ไทม์ไลน์แผนภาพ และอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อให้ทุกคนติดตามงานได้ตามต้องการ
Monday
ราคา: $ 10- $ 20 / ที่นั่ง / เดือน หรือ $ 96- $ 192 / ที่นั่ง / เดือน (ขั้นต่ำสามที่นั่ง)
ทดลองใช้: 14 วัน
Monday นำมุมมองที่เน้นเห็นภาพมาสร้างเป็นเกมบริหารจัดการโปรเจ็กต์ ด้วยการใช้บอร์ดรหัสสีที่ทำให้ง่ายต่อการติดตามแต่ละโปรเจ็กต์ได้อย่างรวดเร็ว ทีมทำงานสามารถสื่อสารผ่านทางบอร์ดและกรองสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปเพื่อขจัดเสียงรบกวน ธุรกิจต่างๆ ยังสามารถเชิญให้ลูกค้าเข้าร่วมบางบอร์ดเพื่อดูความคืบหน้าของโปรเจกต์ได้โดยเฉพาะ
Trello
ราคา: $ 0- $ 17.50 / ผู้ใช้ / เดือน หรือ $ 119.88 / ผู้ใช้ / ปี (เฉพาะผู้ใช้ระดับธุรกิจเท่านั้น)
นามบัตรของ Trello คือความเรียบง่าย สำหรับองค์กรที่กำลังมองหาแอปพลิเคชันจัดการโปรเจกต์ที่ติดตั้งและใช้งานง่าย Trello ถือเป็นตัวเริ่มต้นที่ดี
Trello ช่วยให้ผู้ใช้สร้างการ์ดสำหรับงานที่ต้องทำให้เสร็จ พร้อมมีคอลัมน์ที่แสดงแต่ละขั้นตอนของโปรเจ็กต์นั้น ๆ ผู้ใช้สามารถย้ายการ์ดไปตามขั้นตอนที่ปรากฏแล้วจดบันทึกไว้เพื่อให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องรู้ว่าขั้นตอนต่อไปคืออะไร นอกจากนี้ยังมีมุมมองแบบปฏิทินกับมุมมองแผนที่สำหรับธุรกิจไว้ใช้ในระหว่างการเดินทางอีกด้วย
เพียงแค่แบบฟรีก็คุ้มค่าพอให้ไปลองเช็คดูสำหรับงานขนาดเล็กลงมาแล้ว เพราะมีถึง 10 บอร์ดสำหรับหนึ่งทีม มีการ์ดและรายชื่อให้เลือกใช้ไม่จำกัด พร้อมพื้นที่แนบไฟล์อีก 10MB และถ้าแผนแบบฟรียังไม่พอ ก็เพียงแต่อัปเกรดภายหลังเท่านั้นเอง
เครื่องมือที่เหมาะสมจะรวมทีมของคุณเข้ามาหากัน
ต่อให้ทีมของคุณจะต้องทำงานระยะไกล หรือทำงานแบบผสมผสานระหว่างทำงานระยะไกลกับเข้าออฟฟิศ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลอันควรในการปล่อยให้ประสิทธิภาพการทำงานและเวลาของคุณได้รับผลกระทบอยู่ดี ซึ่งเครื่องมือการทำงานระยะไกลเหล่านี้จะช่วยรวบรวมทีมของคุณเข้าหากันและช่วยให้โปรเจ็กต์ดำเนินต่อไป แม้ว่าสมาชิกในทีมจะอยู่ห่างกันหลายร้อยไมล์ก็ตาม
แม้จะพูดได้ว่าการทำงานระยะไกลคืออนาคตของเราอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าโลกจะเคลื่อนไปสู่ทำงานระยะไกลได้ถึงขนาดนี้ในปี 2020 โชคดีเหลือเกินที่มีเทคโนโลยีนี้ไว้ช่วยให้พวกเราเติบโต เปลี่ยนวิธีการทำงานและก้าวต่อไปในภาวะวิถีปกติใหม่นี้ต่อไป
ที่มา: https://bit.ly/3cdp3Mq