12 เครื่องมือที่ต้องมีสำหรับการ Work from Home
Please wait...
1726202978.png
1731393918.jpg
1732076627.jpg
1730459076.jpg
1730782055.jpg
1730966771.jpg
1731999875.jpg
SOLUTIONS CORNER
12 เครื่องมือที่ต้องมีสำหรับการ Work from Home

12 เครื่องมือที่ต้องมีสำหรับการ Work from Home


เครื่องมือ Work From Home เหล่านี้ช่วยเพิ่มผลิตภาพและความรับผิดชอบได้ พร้อมช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวลงอีกด้วย


การมาของ COVID-19 นำมาสู่การทำงานระยะไกลขนานใหญ่ อันเนื่องมาจากการที่บริษัทต่างๆ เลือกส่งพนักงานกลับไปทำงานที่บ้านเพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส ความกะทันหันดังกล่าวถือเป็นแรงสั่นสะเทือนในหมู่พนักงาน นายจ้างและเครือข่ายที่พวกเขาพึ่งพา แต่บางคนก็ปรับตัวได้ทันท่วงที แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วไวรัสจะหายไป แต่การทำงานจากระยะไกลจะยังคงอยู่อยู่ดี

หลังจากมีปัญหาติดขัดด้านการเชื่อมต่อเล็ก ๆ น้อย ๆ ปัญหาความมั่นคงปลอดภัยและปัญหาอื่นๆ บริษัทขนาดใหญ่จำนานมากขึ้นก็ได้เปลี่ยนไปใช้รูปแบบการทำงานแบบ Work from Home อย่างถาวร ทั้ง Twitter, Square, Coinbase และ Facebook ต่างก็ประกาศใช้นโยบาย Work from Home สำหรับพนักงานบางส่วนหรือพนักงานทั้งหมดอย่างถาวร
เมื่อดูแล้วมีท่าว่ารูปแบบการทำงาน Work From Home จะอยู่กับเราไปอีกนาน ก็เตรียมทีมของคุณให้พร้อมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเครื่องมือที่ต้องมีเหล่านี้ในการทำงานจากที่บ้านเลย


การบริหารเวลา

 

การบริหารเวลาเป็นอะไรที่ยุ่งยาก แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ประจวบพอเหมาะที่สุดก็ตาม เมื่อคุณ Work From Home คุณจะมีปัญหาอื่น ๆ เข้ามากวนใจเสมอ เช่นเด็ก ๆ ที่วิ่งไปมา เสียงกดออดที่ประตู เสียงทีวีดังอยู่ในฉากหลัง และแฟนที่เข้ามาขัดจังหวะตอนทำงาน สิ่งรบกวนเหล่านี้ทำให้ดูเหมือนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำงานอะไรให้เสร็จเมื่อทำงานจากระยะไกล
โชคดีที่ยังมีเครื่องมือช่วยบริหารเวลาเหล่าซึ่งช่วยให้คุณวางแผนแต่ละวันและสัปดาห์ได้


ProofHub

ราคา$ 50- $ 99 / เดือน หรือ $ 540 - $ 1,068 / ปี
ทดลองใช้: 14 วัน

ProofHub เป็นแพ็คเกจแบบครบวงจรที่ช่วยเรื่องการบริหารเวลาและงานต่างๆ รายงานของโปรเจ็กต์ต่างๆ การพิสูจน์ไฟล์ หรือแม้แต่ช่วยประมาณเวลาสำหรับงาน ProofHub ยังมีป้ายบอร์ดคัมบังและแผนภาพแกนต์ที่ช่วยให้ง่ายต่อการวางแผนและติดตามงานอย่างเห็นภาพซึ่งทำให้คุณไม่พลาดกำหนดส่งงาน บอร์ดและแผนภูมิภาพเหล่านี้จะช่วยให้ทีมเข้าใจสถานะปัจจุบันของโปรเจ็กต์ได้อย่างรวดเร็ว

ProofHub เป็นมากกว่าเครื่องมือติดตามงาน มันยังช่วยสนับสนุนการทำงานร่วมกันแบบเป็นทีมด้วยฟีเจอร์แชทที่มีทั้งแบบตัวต่อตัวและแบบกลุ่มอีกด้วย


ฟีเจอร์หลักอื่นๆ ของ ProofHub ยังมี:
  1. ฟีเจอร์พิสูจน์อักษรหน้า Interface ที่มีให้เขียนความเห็นต่อโปรเจ็กต์ด้วยเครื่องมือ Markup
  2. ฟีเจอร์บทบาท (Roles) ที่ใส่มาเพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนในทีมจะเข้าถึงโปรเจ็กต์ของตนได้อย่างถูกต้อง
  3. ฟีเจอร์แชร์ไฟล์และเอกสาร
  4. ฟีเจอร์หน้า Interface หลายภาษาสำหรับทีมที่มีหลายเชื้อชาติ
  5. ฟีเจอร์จำกัด IP เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

Hubstaff

ราคา: $ 0- $ 20 / ผู้ใช้ / เดือน หรือ $ 0- $ 200 / ผู้ใช้ / ปี
ทดลองใช้: 14 วัน
Hubstaff สร้างแดชบอร์ดสำหรับติดตามเวลา ตรวจสอบกิจกรรมของพนักงาน การจัดการงานและการทำงานร่วมกัน เครื่องมือนี้ช่วยให้บริษัทต่างๆ เห็นประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน จำนวนการกดแป้นพิมพ์และการเคลื่อนไหวของเมาส์ นอกจากนี้ยังจับภาพหน้าจอเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานจะไม่ใช้เวลาของบริษัทในทางที่ผิด ซึ่งถ้าพนักงานลืมออกจากระบบแล้วอยู่ในเว็บไซต์ส่วนตัวหรือทำกิจกรรมส่วนตัวอยู่ พวกเขาสามารถลบภาพหน้าจอและลบเวลาออกได้

Hubstaff ทำงานผ่านโปรแกรมหน้าจอ ผ่านเว็บ และแอปพลิเคชันในมือถือ นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้อีกสามสิบแอปพลิเคชัน รวมถึง Asana, Jira, Github และ Paypal ซึ่งยิ่งช่วยให้มีความยืดหยุ่น


ฟีเจอร์หลักอื่นๆ ของ Hubstaff ยังมี:
  • ระบบติดตาม GPS สำหรับเวลาพนักงานอยู่ระหว่างทางบนถนนและตอนลงพื้นที่
  • ระบบติดตามเวลาอัตโนมัติพร้อม Geofencing (ระบบกั้นรั้วสร้างขอบเขตเฉพาะ) ซึ่งทำให้นาฬิกาจะเริ่มเดินก็ต่อเมื่อพนักงานเข้ามาในพื้นที่ทำงานแล้ว
  • ระบบติดตามการจ่ายเงินเดือน
  • แอปพลิเคชันกำหนดตารางเวลาออนไลน์ที่ติดตามการมีส่วนร่วม และนับผู้ที่เข้าร่วมในวันนั้น
  • งบโปรเจ็กต์และการออกใบแจ้งหนี้

 

Harvest

ราคา: $ 12 / เดือน / ผู้ใช้ หรือ $ 129.60 / ปี / ผู้ใช้ (พร้อมส่วนลดสำหรับทีมขนาดใหญ่)
ทดลองใช้30 วัน (จำกัดเพียงผู้ใช้ 1 ท่านและผู้เข้าร่วมอีก 2 ท่าน)
Harvest อาจไม่ฮิตเท่ากับแอปพลิเคชันบางตัวในรายชื่อของเรา แต่ก็มีธุรกิจและคนทั่วไปจำนวนไม่น้อยที่ใช้งานมันอยู่ เครื่องมือดังกล่าวช่วยให้พวกเขาสามารถจัดการโปรเจ็กต์และทีมของตนได้โดยการติดตามเวลาและค่าใช้จ่ายโปรเจ็กต์ แล้วยังสามารถสร้างรายงานด้านสุขภาพที่อ่านง่าย นอกจากนี้ยังช่วยให้เรื่องการวางบิลง่ายขึ้นด้วยระบบใบแจ้งหนี้แบบกำหนดเองที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินออนไลน์ได้

Harvest สามารถบริหารจัดการเวลาของพนักงานด้วยไทม์ชีทที่แสดงระยะเวลาการทำงานในโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ของพนักงาน แล้วยังสามารถดึงข้อมูลดิบจากไทม์ชีทออกมานำเสนอในรูปแบบที่ดึงดูดสายตาเพื่อให้ง่ายต่อการดูและการวิเคราะห์อีกด้วย


ฟีเจอร์หลักอื่นๆ ของ Harvest ยังมี:
  • ฟีเจอร์คาดการณ์เวลาในอนาคตของทีม
  • บูรณาการกับแอพด้าน Productivity อื่นๆ เช่น Asana, Trello, Basecamp และอื่น ๆ
 

การสื่อสารในทีม

 

พนักงานจะทำอย่างไรเมื่อพวกเขาไม่อาจเดินไปหาสมาชิกในทีมคนอื่นที่คอกหรือในออฟฟิศของคนคนนั้นเพื่อถามคำถามสำคัญ (หรืออาจไม่สำคัญเท่าไร) ในโลกแห่งการทำงานระยะไกล องค์กรต่างๆจำต้องมีแชทออนไลน์เพื่อให้สื่อสารกันได้ง่ายและเข้าถึงได้ ถ้ายิ่งราคาไม่แพงและสนุกด้วยก็ถือเป็นโบนัส

ต่อไปนี้คือตัวเลือกยอดนิยมสองสามตัวที่จะช่วยให้ทีมระยะไกลของคุณสามารถสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง

 

Microsoft Teams

ราคา$ 5- $ 20 / เดือน / ผู้ใช้ (รวมอยู่ใน Microsoft 365 Business)
ทดลองใช้1 เดือนเมื่อใช้ Microsoft 365 Business Standard หรือ Business Premium
ทีมที่ทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ขึ้นมาอาจมี Microsoft 365 (หรือชื่อเดิมคือ Office 365) อยู่แล้ว ถ้าพวกคุณบางคนมี Microsoft Teams อยู่แล้ว ก็เป็นเพราะว่าจะมีแอปพลิเคชันนี้ได้ต้องมี Microsoft 365 ก่อนเท่านั้น
สิ่งเด่น ๆ ที่สุดที่ Microsoft Teams มีให้คือฟีเจอร์แชท พนักงานทุกคนสามารถแชทกับคนอื่นๆ ในบริษัทแบบเป็นกลุ่มหรือตัวต่อตัวได้ทันที ในแชทเหล่านี้ พนักงานยังสามารถแชร์รูปภาพและไฟล์ได้โดยไม่จำเป็นต้องส่งไฟล์แนบอีเมลและรอการตอบกลับอีกต่อไป ผู้ใช้ยังสามารถจัดระเบียบทีมและไฟล์ของตนได้ ซึ่งทำให้การสื่อสารและการทำงานร่วมกันง่ายขึ้นไปอีก

Microsoft Teams ยังมีฟีเจอร์ Meet ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถจัดการประชุมหรือเข้าร่วมการประชุมออนไลน์กับผู้ใช้ 2-10,000 คน ซึ่งหากผู้เข้าร่วมอยู่ระหว่างการเดินทางและไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมทางวิดีโอได้ ยังสามารถใช้หมายเลขโทรเข้าแบบทั่วโลกเพื่อเข้าร่วมผ่านเสียงของสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย ผู้ใช้ยังสามารถแชร์เอกสารและหน้าจอของพวกเขาระหว่างการประชุม ซึ่งทำให้การทำงานร่วมกันง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก

อีกหนึ่งสิ่งที่มีประโยชน์มากของ Teams ก็คือหน้าจอ Interface ทำงานร่วมกันที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถเปลี่ยนเนื้อในเอกสารหรือรูปภาพได้ทันที
และขั้นกว่าของฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ก็คือการที่ Teams ยังให้การเข้าถึงแอปพลิเคชันอื่นๆทั้งหมดซึ่งรวมไปถึง Microsoft 365, Onedrive, SharePoint และแอปพลิเคชัน Microsoft Office แบบพรีเมียมอีกด้วย


ฟีเจอร์หลักอื่นๆ ที่มีประโยชน์ของ Microsoft Teams ยังมี:
  • ฟีเจอร์เปลี่ยนพื้นหลังได้ตามใจ
  • ฟีเจอร์แชร์พื้นหลังการประชุม
  • มีภาษามากถึง 53 ภาษา
  • ระบบบูรณาการแอปพลิเคชันกับการทำงาน
 

Google Chat

ราคา: $ 4.20 - $ 18 / เดือน / ผู้ใช้ (รวมอยู่ใน Google Workspace) 
ทดลองใช้14 วัน
เครื่องมือนี้คล้าย ๆ กับ Microsoft Teams ตรงที่บริษัทที่ใช้ Google Workspace อยู่แล้วเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าถึง Google Chat ได้
อีกจุดที่เหมือนกับ Microsoft Teams ก็คือ คุณสามารถแชทแบบตัวต่อตัวหรือแชทแบบกลุ่มใน Google Chat ได้ แล้วยังสามารถแตกแชทกลุ่มออกเป็น ‘ห้อง’ หลายๆ ห้องเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีแต่คนที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะเห็นแชทและเอกสารที่แชร์มา

วิธีการแชร์เอกสารก็ง่าย เพียงใช้ Google Docs, Sheets, Slides เท่านั้น ซึ่งเมื่อคุณแชร์ไฟล์เอกสารลงไปใน Google Chat ทุกคนจะสามารถดูเอกสารนั้นได้

Google Chat ยังสามารถทำงานแยกได้แบบเดี่ยว ๆ บนเดสก์ท็อปหรือมือถือของคุณ แล้วยังทำงานได้บน Gmail โดยตรง ทำให้ลดจำนวนแอปพลิเคชันที่ต้องเปิดลงได้ทันที


ฟีเจอร์ต่อไปนี้เป็นส่วนเสริมเข้ามาที่มีรวมอยู่ใน Google Workspace:
  • ฟีเจอร์ปรับแต่งและรักษาความปลอดภัยให้จดหมายธุรกิจ
  • ยอดจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมได้มากสุดถึง 250 คน
  • พื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์อย่างไม่จำกัด
  • ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง
  • Google Meet (รวมอยู่ด้านล่าง)

 

Slack

ราคา: $ 0- $ 15 / เดือน / ผู้ใช้
ทดลองใช้ฟรี: บริการพื้นฐานฟรี
Slack ถือเป็นหนึ่งในชื่อที่ใหญ่ที่สุดในวงการแอปพลิเคชันแชทแบบทั้งทีม ด้วยความที่ทั้งใช้งานง่ายและช่วยกรองบทสนทนาให้ผู้ใช้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องโดยถูกถล่มด้วยข้อความที่ไม่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้มันยังมีตัวเลือกสนุก ๆ มากมายเช่นการโต้ตอบด้วยอิโมจิ นอกจากนี้ตัว Donut app ของมันยังช่วยแนะนำพนักงานให้รู้จักกัน และสนับสนุนการรวมตัวเพื่อทำความรู้จักกันแบบตัวต่อตัวหรือแบบเสมือนอีกด้วย

Slack ยังเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันแชทที่สามารถปรับขนาดได้ ด้วยตัวบริการที่มีตั้งแต่แบบฟรีไปจนถึงแพ็คเกจสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ ตัวฟรีนั้นถือเป็นตัวเริ่มต้นที่ดีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ด้วยมีการวิดีโอคอลแบบตัวต่อตัว การบูรณาการกับแอปพลิเคชันได้ถึง 10 ตัว การเข้าถึงข้อความที่สมาชิกในทีมส่งมาได้ถึง 10,000 ข้อความ และพื้นที่จัดเก็บ 5 GB ต่อผู้ใช้และมากกว่านั้น ส่วนแพ็คเกจที่มีราคาแพงขึ้นจะเพิ่มการดูประวัติข้อความย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด การบูรณาการแอปพลิเคชันโดยไม่จำกัด พื้นที่จัดเก็บ 10 GB ต่อผู้ใช้ การแบ่งส่วนแบบปรับแต่งได้  รวมไปถึงการรองรับข้อกำหนด HIPAA และอื่นๆ เข้ามา 
 

การประชุมทางวิดีโอ

ไม่ว่าการประชุมจะน่ารำคาญแค่ไหน บางครั้งมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการโทรก็อาจจะช่วยไม่ได้เช่นกัน การประชุมแบบเจอหน้าอาจเป็นทางเลือกเดียวในช่วงเวลาปกติ แต่ในยุคนี้ การประชุมเสมือนได้เข้ามาแทนที่การประชุมในรูปแบบธรรมดาในโลกปัจจุบันที่ซึ่งที่ทำงานกลายเป็นต้องเว้นระยะห่างทางสังคม 

ต่อไปนี้คือตัวเลือกยอดนิยมของแอปพลิเคชันประชุมทางวิดีโอสำหรับพนักงานที่กระจัดกระจายไปของคุณ


Google Meet

ราคา: $ 4.20 - $ 18 /เดือน/ผู้ใช้
ทดลองใช้: 14 วัน
Google Meet เป็นส่วนหนึ่งของชุด Google Workplace เช่นเดียวกันกับ Google Chat และฟีเจอร์ที่ดีที่สุดประการหนึ่งของมันก็เหมือนกับ Google Chat ซึ่งก็คือช่วยอำนวยความสะดวกในการแชร์ไฟล์และทำงานร่วมกันระหว่างประชุม นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเปิด Google Meet ได้โดยตรงจาก Google Chat หากต้องการ

ความยืดหยุ่นคืออีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ Meet อันเนื่องมาจากการที่มีทั้งแอปพลิเคชันบนมือถือและหมายเลขโทรเข้าสำหรับผู้เข้าร่วมการประชุมที่กำลังเดินทาง องค์กรยังสามารถบูรณาการแอปพลิเคชันอื่น ๆ เข้ามาใช้งานกับ Google Meet ได้อีกด้วย

Zoom

ราคา: ฟรี - $ 40 /เดือน/ลิขสิทธิ์
ทดลองใช้: บริการพื้นฐานฟรี
ไม่มีบริษัทใดได้ประโยชน์จากการปฏิวัติการทำงานระยะไกลไปมากกว่า Zoom มันเปลี่ยนจากโนบอดี้มาเป็นคนดังในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์อย่างเข้าใจได้ว่าทำไม

ตัวฟรีของ Zoom มีการประชุมแบบตัวต่อตัวแบบไม่จำกัดให้ และมีการประชุมกลุ่มที่รองรับได้ถึง 100 คนเป็นเวลาสูงสุด 40 นาที สำหรับธุรกิจขนาดเล็กบางที่ นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาต้องการ

แผนแบบตัวชำระเงินมีฟีเจอร์เพิ่มเติมเข้ามา เช่นเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมให้มากสุดถึง 300 คน การประชุมกลุ่มโดยไม่จำกัดเวลา การสตรีมโซเชียลมีเดีย การบันทึกบนคลาวด์ การจัดการโดเมน และฟีเจอร์การโทรแบบไม่จำกัดในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา  Zoom ยังก้าวไปอีกขั้นด้วยฟีเจอร์ที่ช่วยให้การประชุมสนุกขึ้นเล็กน้อย เช่นภาพพื้นหลังและการประชุมโฮโลแกรม AR ที่กำลังจะมาในไม่ช้า


GoToMeeting

ราคา: $ 14- $ 19 / ผู้จัดประชุม / เดือน
ทดลองใช้: 14 วัน
อีกหนึ่งแอปพลิเคชันประชุมทางวิดีโอแบบสแตนด์อโลนที่คุ้มค่าก็คือ GoToMeeting ด้วยราคาระดับโปรเฟสชันนัลเพียง $14 ผู้จัดประชุม 1 บัญชีก็สามารถมีผู้เข้าร่วมประชุมได้ถึง 150 คน โดยที่ผู้เข้าร่วมไม่จำเป็นต้องมีบัญชี GoToMeeting ของตนเองเพื่อเข้าร่วมแต่อย่างใด

ระดับโปรเฟสชันนัลมีฟีเจอร์ให้เลือกใช้มากมายในราคาระดับนี้ รวมไปถึงวิดีโอ HD การแชร์หน้าจอ การโทรเข้าการประชุม การประชุมแบบไม่จำกัดระยะเวลา แอปพลิเคชันในมือถือ การเข้ารหัส SSL และเข้ารหัส 256-bit และการบูรณาการเข้ากับแอปพลิเคชันหลายตัว

ถ้าเพิ่มขึ้นเป็นระดับธุรกิจก็จะเพิ่มฟีเจอร์ที่มีประโยชน์อื่น ๆ อีก เช่นฟีเจอร์ผู้จัดงานร่วม การถอดเสียง การเปลี่ยนสไลด์เป็น PDF เครื่องมือวาดภาพ การแชร์แป้นพิมพ์และเมาส์ การบันทึกบนคลาวด์และอื่น ๆ อีกมากมาย


การบริหารจัดการโปรเจ็กต์

ซอฟต์แวร์บริหารจัดการโปรเจ็กต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกบริษัท เนื่องจากการติดตามว่าใครกำลังทำอะไรอยู่และการติดตามความคืบหน้าของแต่ละโปรเจ็กต์เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยความที่ทีมต่างก็ทำงานระยะไกล จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีระบบการจัดการโครงการที่ยอดเยี่ยมเพื่อให้ทุกคนสามารถติดตามความคืบหน้าโปรเจ็กต์แล้วรู้ว่าตนเองต้องโดดเข้ามาทำในส่วนนี้เมื่อไร

สำหรับแอปพลิเคชัน มีตัวเลือกดีๆให้คุณเลือกสรรมากมาย และนี่คือบางส่วนที่เป็นที่นิยมมากที่สุด:


Asana

ราคา: $ 0- $ 30.49 / ผู้ใช้ / เดือน หรือ $ 0- $ 299.88 / ผู้ใช้ / ปี ทดลองใช้: 30 วัน
Asana เป็นระบบบริหารจัดการโปรเจ็กต์ที่มีความคล่องตัวซึ่งทำให้ง่ายต่อการจัดระเบียบและติดตามความคืบหน้าแต่ละโปรเจ็กต์ ผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่าหน้าการสนทนาและการแลกเปลี่ยนความคิดในทีม แล้วยังสามารถปรับการตั้งค่าเพื่อให้ได้รับการแจ้งเตือนแค่เฉพาะเรื่องสำคัญๆ แทนที่จะเป็นทุกการเคลื่อนไหวในระบบ นอกจากนี้ Asana ยังทำงานร่วมกับ Google Suite, Dropbox และ Github ได้อีกด้วย

Asana มีวิธีติดตามมากมายโปรเจ็กต์หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นป้ายคัมบัง ไทม์ไลน์แผนภาพ และอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อให้ทุกคนติดตามงานได้ตามต้องการ

Monday

ราคา$ 10- $ 20 / ที่นั่ง / เดือน หรือ $ 96- $ 192 / ที่นั่ง / เดือน (ขั้นต่ำสามที่นั่ง)
ทดลองใช้: 14 วัน
Monday นำมุมมองที่เน้นเห็นภาพมาสร้างเป็นเกมบริหารจัดการโปรเจ็กต์ ด้วยการใช้บอร์ดรหัสสีที่ทำให้ง่ายต่อการติดตามแต่ละโปรเจ็กต์ได้อย่างรวดเร็ว ทีมทำงานสามารถสื่อสารผ่านทางบอร์ดและกรองสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปเพื่อขจัดเสียงรบกวน ธุรกิจต่างๆ ยังสามารถเชิญให้ลูกค้าเข้าร่วมบางบอร์ดเพื่อดูความคืบหน้าของโปรเจกต์ได้โดยเฉพาะ

Trello

ราคา$ 0- $ 17.50 / ผู้ใช้ / เดือน หรือ $ 119.88 / ผู้ใช้ / ปี (เฉพาะผู้ใช้ระดับธุรกิจเท่านั้น)
นามบัตรของ Trello คือความเรียบง่าย สำหรับองค์กรที่กำลังมองหาแอปพลิเคชันจัดการโปรเจกต์ที่ติดตั้งและใช้งานง่าย Trello ถือเป็นตัวเริ่มต้นที่ดี

Trello ช่วยให้ผู้ใช้สร้างการ์ดสำหรับงานที่ต้องทำให้เสร็จ พร้อมมีคอลัมน์ที่แสดงแต่ละขั้นตอนของโปรเจ็กต์นั้น ๆ ผู้ใช้สามารถย้ายการ์ดไปตามขั้นตอนที่ปรากฏแล้วจดบันทึกไว้เพื่อให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องรู้ว่าขั้นตอนต่อไปคืออะไร นอกจากนี้ยังมีมุมมองแบบปฏิทินกับมุมมองแผนที่สำหรับธุรกิจไว้ใช้ในระหว่างการเดินทางอีกด้วย

เพียงแค่แบบฟรีก็คุ้มค่าพอให้ไปลองเช็คดูสำหรับงานขนาดเล็กลงมาแล้ว เพราะมีถึง 10 บอร์ดสำหรับหนึ่งทีม มีการ์ดและรายชื่อให้เลือกใช้ไม่จำกัด พร้อมพื้นที่แนบไฟล์อีก 10MB และถ้าแผนแบบฟรียังไม่พอ ก็เพียงแต่อัปเกรดภายหลังเท่านั้นเอง


เครื่องมือที่เหมาะสมจะรวมทีมของคุณเข้ามาหากัน

ต่อให้ทีมของคุณจะต้องทำงานระยะไกล หรือทำงานแบบผสมผสานระหว่างทำงานระยะไกลกับเข้าออฟฟิศ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลอันควรในการปล่อยให้ประสิทธิภาพการทำงานและเวลาของคุณได้รับผลกระทบอยู่ดี ซึ่งเครื่องมือการทำงานระยะไกลเหล่านี้จะช่วยรวบรวมทีมของคุณเข้าหากันและช่วยให้โปรเจ็กต์ดำเนินต่อไป แม้ว่าสมาชิกในทีมจะอยู่ห่างกันหลายร้อยไมล์ก็ตาม

แม้จะพูดได้ว่าการทำงานระยะไกลคืออนาคตของเราอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าโลกจะเคลื่อนไปสู่ทำงานระยะไกลได้ถึงขนาดนี้ในปี 2020 โชคดีเหลือเกินที่มีเทคโนโลยีนี้ไว้ช่วยให้พวกเราเติบโต เปลี่ยนวิธีการทำงานและก้าวต่อไปในภาวะวิถีปกติใหม่นี้ต่อไป

ที่มา: 
https://bit.ly/3cdp3Mq
 

ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์