Dellยกขบวนฮาร์ดแวร์ใหม่มาเปิดตัวในงาน Dell Technologies World 2019
Please wait...
1726202978.png
1731393918.jpg
1732076627.jpg
1730459076.jpg
1730782055.jpg
1730966771.jpg
1731999875.jpg
ENTERPRISE IT UPDATE
Dellยกขบวนฮาร์ดแวร์ใหม่มาเปิดตัวในงาน Dell Technologies World 2019

Dell ยกขบวนฮาร์ดแวร์ใหม่มาเปิดตัวในงาน Dell Technologies World 2019

 
ในงานนี้ Dell ได้มีการเปิดเผยถึงแล็ปท็อปชุดใหม่ พร้อมทั้งโซลูชั่นสำหรับจัดการด้านข้อมูล และผลิตภัณฑ์ชั้นนำด้านระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) 
 
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมประจำปีของ Dell Technologies World 2019 ที่ลาสเวกัส ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Dellก็ได้ทำการเปิดเผยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ๆ และรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งคาดว่าจะมีการวางจำหน่ายในช่วงปลายปีนี้ 
 
ด้วยการอัพเดตในเกือบจะทุกเซ็กเมนต์ (Segment) ของพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) ซึ่งก็รวมถึงสตอเรจ (Storage),เซิร์ฟเวอร์ (Server), แล็ปท็อป (Laptop),ระบบเครือข่าย (Networking) และอื่นๆ อีกมากมาย โดยฮาร์ดแวร์ใหม่ที่ว่านี้ ยังครอบคลุมการใช้งานที่เกี่ยวกับ การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายของพนักงาน (Employee Mobility), การพัฒนา AI (Artificial Intelligence), การสำรองข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud Backup) เป็นต้น
 
การประกาศดังกล่าวนั้นเป็นไปตามการอัพเดตต่างๆ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจซอฟต์แวร์และบริการของทางบริษัท ตลอดจนรูปแบบการให้บริการเกี่ยวกับศูนย์ข้อมูล (Data Center as a Service; DCaaS) ที่ขับเคลื่อนการทำงานด้วย VMware รวมถึงการให้บริการ VMware บน Microsoft Azure และการให้บริการใหม่ๆ เกี่ยวกับระบบบริหารจัดการเครื่องลูกข่าย (Endpoint Management) ซึ่งประกาศจากทางบริษัททั้งหมดนี้มีวัตถุประสงค์หลักก็เพื่อผลักดันและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขององค์กรธุรกิจไปสู่ยุคดิจิตัล (Digital Transformation) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรูปแบบการให้บริการ (Deployment Models) ที่มุ่งเน้นให้มีการเปิดใช้งานระบบโครงสร้างพื้นฐาน ที่รองรับการใช้งานแบบ Multi Cloud
 

Dell Latitude

 

ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นประเภทแล็ปท็อปสายธุรกิจนั้น Dellได้มีการอัพเดทในสามตระกูลที่สำคัญ ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในตระกูล Latitude, Vostro และ Precision ซึ่งในตระกูล Latitudeใหม่ที่ว่านี้ประกอบไปด้วย Latitude 3000, 5000 และ 7000 ที่มีการนำเสนอคุณสมบัติต่างๆ ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นขณะเดินทางหรือมีการใช้งานนอกสถานที่ นอกจากนี้ยังรองรับโปรเซสเซอร์ Intel Core vPro เจนเนอเรชั่น8 ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านระบบธุรกิจอัจฉริยะต่างๆ โดยสายผลิตภัณฑ์ในซีรีย์ 7000 นั้น มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 13นิ้วและ 14 นิ้ว และยังมีขนาด 12 นิ้ว สำหรับ Latitude 7200 2-in-1 ในส่วนของซีรีย์ 7000นี้ ยังสามารถเพิ่ม RAM ได้สูงสุด 32GBรวมถึงฟีเจอร์อื่นๆ เช่น เสาสัญญาณเซลลูลาร์ CAT16 แบบ 4x4 เพื่อการดาวน์โหลดที่เร็วยิ่งขึ้น และหน้าจอPrivacy Screen ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดการสอดแนมที่ไม่พึงประสงค์
 
ขณะเดียวกันนั้น Latitude ในซีรีย์ 5000ก็มีหน้าจอให้เลือกหลายขนาด ทั้งแบบที่มีขนาด 13 นิ้ว, 14 นิ้ว และ 15 นิ้ว โดยแล็ปท็อปทั้งหมดในซีรีย์นี้ Dell ได้มีการบรรจุคาร์บอนไฟเบอร์ไว้ภายในโครงสร้าง(Chassis)ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Legacy of Good Program ของ Dellและในส่วนของตัวเลือกการกำหนดค่าต่างๆ (Configuration Option) นั้น ประกอบไปด้วยหน้าจอแบบ Full HD, การดีไซน์กรอบของหน้าจอที่มีขอบบาง (Narrow Bezel) และหน้าจอระบบสัมผัส (Touchscreen) พร้อมด้วยระบบประมวลผลอันทรงพลังอย่างโปรเซสเซอร์Intel Core เจนเนอเรชั่น 8 รวมถึงตัวเลือกที่เป็นชิปกราฟิกแบบแยก (Dedicated Graphics Chip) โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ยังรวมถึง Latitude 5300 2-in-1ที่มีหน้าจอขนาด 13 นิ้ว ขณะที่ตัวเครื่องมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.4 กก. มาพร้อมกับหน้าจอแบบ Full HD ทั้งยังสามารถเพิ่มแรม (RAM)ได้สูงสุด 32GB และมีหน่วยความจำสูงสุด (Storage Capacity) ที่ 1TB
 
สำหรับ Latitude ในซีรีย์ 3000 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของแล็ปท็อประดับเริ่มต้น (Entry Level) เพื่อการใช้งานในเชิงธุรกิจ มาพร้อมกับขนาดของหน้าจอที่มีให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ 13 นิ้ว, 14 นิ้ว และ 15นิ้ว ด้วยราคาเริ่มต้นที่ $599 (£459) ซึ่งก็เป็นที่น่าพอใจสำหรับใครหลายๆ คน อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ใหม่ในตระกูลของ Latitude ก็ยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีใหม่ในการชาร์จที่เรียกว่า ExpressCharge ซึ่ง Dell ยังได้กล่าวอีกว่า มันสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ถึง 80% ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง หรือ ExpressCharge Boost สำหรับกรณีฉุกเฉิน ที่สามารถชาร์จได้ 35% ในเวลาเพียง 20 นาที นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ Intelligent WiFi ที่สามารถตรวจจับสัญญาณและเชื่อมต่อเข้ากับสัญญาณWi-Fi ที่แรงที่สุดโดยอัตโนมัติ ซึ่งพวกเขาสามารถที่จะกำหนดค่าด้วยฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับระบบรักษาความปลอดภัยได้ เช่น เครื่องอ่านบัตรสมาร์ทการ์ด ( Smart Card Reader ), การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวภาพ (Biometric Authentication) และ Dell SafeBIOS ซึ่งเป็นยูทิลิตี (Utility)ที่ใช้ในการตรวจสอบ BIOSนอกโฮสต์ เป็นต้น
 

Dell Vostro 

 

สำหรับผลิตภัณฑ์ในตระกูล Vostro นั้น มุ่งเน้นไปที่ผู้ใช้งานในกลุ่มธุรกิจขนาดย่อมเป็นหลัก ซึ่ง Dell ก็ได้ทำการเปิดตัวรุ่นใหม่ไปสองตัวด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือ Vostro 13 5000 ที่เป็นอุปกรณ์ขนาด 13นิ้ว มีน้ำหนักน้อยกว่า 1.2 กิโลกรัม และมีขนาดความบางที่วัดได้เพียง 14.9 มม. โดย Dell ได้อ้างว่ามันเป็น Vostro ที่บางและเบาที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยมีมา นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Full HD และขอบจอที่บางเฉียบ ทำให้นึกถึงรุ่นที่สร้างชื่อให้กับบริษัทอย่าง XPS 13 เลยทีเดียว
 
สำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Vostro 15 7000 ที่มาพร้อมกับพลังขับเคลื่อนของโปรเซสเซอร์ Core i7 Coffee Lake-H แบบ 6 Core และกราฟิกการ์ดขั้นสูง(GPU) แบบที่ติดตั้งมาในตัวเครื่อง (Built in) จาก Nvidia GeForce GTX 1650 และสิ่งที่ไม่ต่างไปจากเพื่อคู่หูที่มีขนาดเล็กกว่าของมันก็คือ ขอบจอที่ถูกออกแบบมาให้มีความบาง (Narrow-Bezel) และจอแสดงผลแบบFull HD
 

Dell Precision workstations

 

ถ้ามองในแง่ของประสิทธิภาพการทำงาน แล็ปท็อปของ Dellที่จัดอยู่ในระดับสูงสุด (Top End) นั้น ดูเหมือนว่าผลิตภัณฑ์ที่ครองตำแหน่งนี้ก็ดูน่าจะเป็นเวิร์คสเตชัน (Workstation) ในตระกูล Precision ของ Dellซึ่งในบางรุ่นอาจจะมีราคาสูงกว่า 2,500 ปอนด์ แต่อย่างไรก็ตามยังมีในส่วนของธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด ตลอดจนนักเรียนและครีเอทีฟมือสมัครเล่นที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย โดยที่ Dellเองก็ยังคงให้ความสำคัญกับลูกค้าในกลุ่มนี้ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในตระกูล Precision
 
Precision 3540 and 3541เป็นโมบายเวิร์กสเตชั่น (Mobile Workstation) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบความสมดุลระหว่างราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ (Affordability) และประสิทธิภาพของการประมวลผล โดยเริ่มจาก Precision 3540ที่สามารถรองรับโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น8แบบ Quad-core โดนมีหน่วยความจำแบบ DDR4ที่จุได้สูงสุด 32GB พร้อมด้วยพื้นที่จัดเก็บขนาด 2TBและกราฟิกการ์ด Radeon Pro จากทาง AMD และในส่วนของ Precision 3541นั้น ก็จัดว่ามีอุปกรณ์ที่ครบครันยิ่งกว่า โดยมีลักษณะเฉพาะที่ประกอบไปด้วยโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 9แบบ 8 Core หรือโปรเซสเซอร์ ในตระกูล Xeon แบบ 6 Core ตลอดจนกราฟิกการ์ดระดับมืออาชีพอย่าง Quadro ของ Nvidiaที่มีหน่วยความจำขนาด 4GB
 
นอกจากนี้ แล็ปท็อปทั้งสองเครื่องยังใช้จอแสดงผลที่มีขนาด 15.6นิ้ว เหมือนกัน และยังมีน้ำหนักน้อยกว่า 2 กิโลกรัมอีกด้วย โดยทั้งคู่ยังได้รับการรับรองจากผู้ผลิตซอฟต์แวร์ชั้นนำ (ISV certified) เช่นเดียวกับเวิร์คสเตชั่นรุ่นอื่นๆ ของ Dell ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรับรองสำหรับการนำไปใช้กับซอฟต์แวร์ระดับมืออาชีพ เช่น Solidworks และ Autodesk นั่นเอง
 

Storage

 

สำหรับ Dell แล้ว พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับระบบโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล (Data Centre Infrastructure) เช่นกัน เพราะรายการใหม่ๆ ก็ยังถูกเพิ่มเข้าไปในพอร์ทโฟลิโอการจัดเก็บ (Storage Portfolio) ของ Dell EMC ทั้งในส่วนของการปกป้องข้อมูล (Data Protection) และผลิตภัณฑ์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ (Hyperconverged Infrastructure) ตลอดจนสายผลิตภัณฑ์อื่นๆ
 
Isilon เป็นสตอเรจแบบ NAS (Network Attached Storage)ของ Dell ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความสามารถในการปรับขยาย (Scale-out) โดยรุ่นใหม่ที่จะนำมาสบทบในครั้งนี้ก็คือ Isilon H5600 เป็นอุปกรณ์ขนาด 4U ที่ Dell อ้างว่าพวกเขาได้ทำการปรับปรุงในส่วนของ Rack ที่มีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น (Rack Density), Throughput, การทำ Memory และ SSD Caching ซึ่งทางบริษัทเองก็ได้มีการวางแนวทางของพวกเขาเกี่ยวกับความเป็นประโยชน์ (Applicability) สำหรับลูกค้า ทั้งในด้านความบันเทิง (Entertainment)และสื่อ (Media) โดยเฉพาะ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ใหม่ก็ยังได้รับการสนับสนุนโดยการอัพเดตซอฟต์แวร์ OneFS ซึ่งตอนนี้สามารถปรับขยายในระดับคลัสเตอร์ได้มากขึ้นถึง 75% สูงสุดที่ 252 Nodeโดยรองรับความจุรวมกันที่ 58PB
 
PowerMax เป็นผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลของ Dell ที่ได้รับการอัพเดตเพื่อรองรับหน่วยความจำถาวร Intel Optane DC Persistent Memory ที่ทำหน้าที่เป็นแคชให้กับแรม ซึ่ง Dell ก็ได้มีการชี้แจงว่า ด้วยการออกแบบให้มีการเชื่อมต่อผ่านทางสล็อตของ DRAMมันจึงช่วยลดค่า Latency ในการส่งผ่านข้อมูลของIntel Optane ลงไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง และยังช่วยให้การส่งผ่านข้อมูลไปยังซีพียูทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ PowerMax ที่ขับเคลื่อนด้วย Optane DC Persistent Memory ก็ยังมีกำหนดที่จะจัดส่งให้กับลูกค้าภายในสิ้นปีนี้ และในส่วนของ PowerMax ใหม่นี้ ก็ยังมีโปรแกรมเสริม (Plugin)เพื่อช่วยในการจัดการ VMware vRealize Orchestrator ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ก็มีพร้อมให้บริการแล้วเช่นกัน ในขณะที่ Container Storage Interface (CSI) ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนต่อประสานระหว่างแอพพลิเคชั่น (API) สำหรับจัดการสตอเรจขนาดใหญ่ และชุดคำสั่ง Ansible Playbooks นั้น มีกำหนดที่จะออกมาในช่วงฤดูร้อนของปีนี้
 
สำหรับองค์กรที่ต้องการนำกลยุทธ์แบบมัลติคลาวด์ (Multi-Cloud)มาใช้ ซึ่งจะเป็นการเลือกใช้ผู้ให้บริการระบบคลาวด์หลายรายเพื่อรองรับแอพพลิเคชั่นและปริมาณงานที่แตกต่างกันขององค์กร ทางบริษัทเองก็ได้มีการเปิดตัว Dell EMC Cloud Storage Services บริการใหม่ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage) ที่รันบนอุปกรณ์ Unity, PowerMax และ Isilon ของ Dell ในรูปแบบคลาวด์เพื่อเชื่อมต่อไปยังAmazon Web Services (AWS), Microsoft Azure, Google Cloud Platform หรือแม้แต่  VMware Cloud on AWS ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้มีให้บริการในลักษณะของ Managed Service Provider (MSP) และมีการเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบคลาวด์ ทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานคลาวด์ได้ตามต้องการ, มีการกู้คืนระบบเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Disaster Recovery) โดยอัตโนมัติ, การวิเคราะห์ (Analytics) และยังรวมถึงการใช้งานในกรณีอื่นๆ
 
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการประกาศเกี่ยวกับสตอเรจของบริษัทในครั้งนี้ก็คือ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Dell EMC Unity XT โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาดระดับกลาง (Mid-range)นี่เป็นสตอเรจ ขนาด 2U ที่มาในรูปแบบของ Rackมาพร้อมกับคอนโทรลเลอร์ (Controller) ที่ทำงานแบบDual-active โดยแต่ละระบบจะมีการเชื่อมต่อกับซีพียู Intel Skylake แบบ Dual-Socket และยังพร้อมรองรับการใช้งานกับNVMe ทั้งนี้ Dell ยังได้กล่าวอีกว่า ผู้ใช้สามารถที่จะทำการอัพเกรดได้ในเวลาอันสั้น โดยจะใช้เวลาในการติดตั้ง (Install)เพียง 10 นาที และ 15 นาที ในการตั้งค่าเพิ่มเติม (Configure) นอกจากนี้มันยังสามารถติดตั้งHard Drive ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับสตอเรจในตระกูล Unity รุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งก็จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า, ช่วงเวลาการตอบสนอง (Response Time) ดีขึ้นถึง 75%และยังสามารถรองรับ Virtual Machines (VMs) ได้เพิ่มขึ้นมากกว่า50% และยังเห็นได้ชัดว่ามันสามารถทำ Data Reduction ได้ในอัตราส่วน 5:1 เพื่อเป็นการช่วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูล
 
สำหรับ Dell EMC Cloud Storage Services นั้น โดยทั่วไปแล้วตามกำหนดการจะเริ่มต้นให้บริการในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ โดยจะมีแพลตฟอร์มใหม่ของ Isilon และ Unity วางจำหน่ายในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมตามลำดับ
 

Data protection

 

พลังของข้อมูล หรือ "The Power of Data" นั้น ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญในการประชุมของปีนี้ก็ว่าได้ ดังนั้น จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่ Dell จะออกมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดด้านData Protection ของพวกเขา อันดับแรกที่เรากำลังจะพูดถึงก็คือ ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม Dell EMC PowerProtect ใหม่ล่าสุดของบริษัท ที่มีฟังก์ชั่นการสำรองข้อมูล (Backup)และการทำสำเนา (Replication) ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ที่สะดวกและรวดเร็ว รวมถึงการสำรองข้อมูลตามนโยบาย (Policy-Based Backup) แบบอัตโนมัติ สำหรับธุรกิจที่ทำงานบนสภาพแวดล้อม VMware vSphere โดยมาพร้อมกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อย่าง PowerProtect X400 ในรูปแบบของ Rack Mount ขนาด 2U พร้อมขับเคลื่อนการทำงานด้วยโปรเซสเซอร์ Intel Xeon ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบAll-Flash และ Hybrid โดยมี Capabilityเริ่มต้นที่ 64TB และสูงสุดที่ 448TB สำหรับแบบ Flash นอกจากนี้ยังใช้ AI (Artificial Intelligence) ในการทำโหลดบาลานซ์ (Load Balance) โดยอัตโนมัติ 
 
Dell ยังได้ออกมาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับรุ่นที่แตกต่างออกไปจากที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นรุ่นที่มี Capacity ที่ต่ำกว่า นั่นก็คือ Dell EMC Integrated Data Protection Appliance DP4400 ของพวกเขา โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งโมเดลใหม่ที่ว่านี้มี Capacity ตั้งแต่ 8-24TB และสามารถรองรับการปรับขยายได้สูงสุด96TB โดยตามกำหนดแล้ว DP4400 จะเริ่มมีวางหน่ายตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของปีนี้ ขณะที่แพลตฟอร์ม PowerProtect ก็คาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการได้ช่วงในเดือนกรกฎาคมของปีนี้ เช่นกัน
 

Networking

 

นอกเหนือจากสตอเรจ (Storage) แล้ว ผลิตภัณฑ์ระบบเครือข่าย (Networking) แบบใหม่ ก็ยังถูกนำมาจัดแสดงด้วยเช่นกัน โดยทางบริษัทก็ได้มีการเปิดเผยเกี่ยวกับ Dell EMC SD-WAN Edge ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจร  (Integration Platform) ที่รวมฮาร์ดแวร์ของDell เข้ากับซอฟต์แวร์ SD-WAN ของ VMwareเพื่อนำเสนอแพ็คเกจแบบรายเดือน (Subscription-Based) ให้กับลูกค้าที่สมัครเป็นสมัครสมาชิก และที่มากไปกว่านั้นก็คือ Dell ยังรับทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาที่ให้บริการด้านการออกแบบและการจัดทำระบบ (Implementation) ให้กับบริษัทต่างๆ ที่กำลังเริ่มมองหาการปรับใช้ SD-WAN (Software-Defined Wide Area Networking) กับองค์กร เพื่อใช้ในการดูแล ควบคุมอุปกรณ์การเชื่อมต่อ ระหว่างเครือข่ายขององค์กร รวมทั้งสาขา และ Data Center 
 
ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่เกี่ยวกับ Network Switch ของทางบริษัท ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ในระบบเครือข่ายเข้าด้วยกันนั้นก็ได้รับการปรับโฉมใหม่ด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในนามของ PowerSwitch ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะทำให้มันสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ในตระกูลPowerEdge, PowerMax และ PowerProtect มากยิ่งขึ้นนั่นเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์แรกที่จะนำมาแนะนำให้รู้จักกันนั้นก็คือ PowerSwitch S5200-ONที่มีให้เลือกใช้งานทั้งแบบที่มี 12 พอร์ต, 24 พอร์ต และในเวอร์ชั่นที่มีขนาดความกว้างของตัวเครื่องลดลงครึ่งหนึ่งจากขนาดปกติ ซึ่งก็คาดว่าจะมีการนำเสนอในเรื่องของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้
 

HCI and Servers

 

ในที่สุด สินค้าในกลุ่มเซิร์ฟเวอร์และประมวลผลของบริษัทก็แสดงให้เห็นถึงการเติบโตด้วยเช่นกัน สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบโครงสร้างแบบไฮเปอร์-คอนเวิร์จ (Hyper-Converged)ของ Dell ที่เข้าร่วมในงานเปิดตัวครั้งนี้ ก็คือ VxFlex Appliance ใหม่ ที่มาในรูปแบบของ Rack Mount ขนาด 2U เพื่อที่จะนำไปสมทบกับ VxFlex Integrated Rack ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักกันในนามของ VxRack FLEX เนื่องจากเป็นการขับเคลื่อนการทำงานด้วยชิป Intel Xeon Scalable ผลิตภัณฑ์ HCI เหล่านี้ จึงช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากข้อเสนอของ Dell โดยไม่จำเป็นต้องที่จะต้องมีคุณสมบัติที่เป็นไปตามมาตรฐานทั้งหมด บน VMware Infrastructure
 
Dell EMC DSS 8440 เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการตรวจสอบการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เนื่องจากมันเป็นเซิร์ฟเวอร์ขนาด 4Uแบบ Dual-Socket ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการฝึกโมเดลAI (Artificial Intelligence) ซึ่งมันสามารถรองรับการติดตั้งIntel Xeon Scalable Processor จำนวน 2 ตัว, รองรับการติดตั้งดิสก์แบบ NVMe/SAS สูงสุด 10 ลูก และยังสามารถรองรับ NVIDIA Tesla V100 Tensor Core GPUs ได้สูงสุดถึง 10 ชุด นอกจากนี้ Dell ยังได้ร่วมมือกับโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับงานด้านการฝึกฝนโมเดล (Model Training) ซึ่งในส่วนของ Dell EMC DSS 8440 นั้น มีกำหนดวางตลาดในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และสำหรับ VxFlex appliance ใหม่ ก็มีกำหนดวางจำหน่ายในช่วงเดือนกรกฎาคมของปีนี้ เช่นกัน


ดูสินค้าเพิ่มเติม : 
https://www.quickserv.co.th
ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์