HPE Hyperconverged Infrastructure (HCI) จะเพิ่มพลังให้ธุรกิจคุณได้อย่างไร
Please wait...
1726202978.png
1731393918.jpg
1732076627.jpg
1730459076.jpg
1730782055.jpg
1730966771.jpg
1731999875.jpg
ENTERPRISE IT UPDATE
HPE Hyperconverged Infrastructure (HCI) จะเพิ่มพลังให้ธุรกิจคุณได้อย่างไร

โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวอร์เตอร์ (Hyper-converged Infrastructure: HCI) สามารถเพิ่มพลังให้กับธุรกิจของคุณได้อย่างไร



ลืมเรื่องการรวมกลุ่มไปได้เลย เพราะ HCI สามารถปลดล็อกโลกแห่งความเป็นไปได้สำหรับองค์กรของคุณ
 
บางครั้งศูนย์ข้อมูลก็เปรียบเสมือนเหมือนสัตว์ร้ายที่คอยแต่จะสร้างความรำคาญใจ บ่อยครั้งที่เราพบว่ามันมักจะมีอารมณ์แปรปรวน มีความหิวกระหายทรัพยากรอยู่ตลอดเวลา และเมื่อใดก็ตามที่มันไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ มันก็สามารถกลายร่างเป็นอันธพาลที่คอยแต่จะสร้างความเจ็บปวดที่ร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ เป็นที่รู้กันว่าการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลนั้นมักเป็นปัญหาที่ซับซ้อนอยู่เสมอ แต่ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวอร์เตอร์ได้ถูกนำมาเป็นวิธีการที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้
 
Hyperconverged Infrastructure หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า HCI สามารถสรุปได้อย่างคร่าวๆ ว่ามันคือเครื่องจักรกลเครื่องเดียวที่รวบรวมองค์ประกอบที่สำคัญทั้งหมดที่ประกอบเป็นฮาร์ดแวร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของบริษัท เพื่อที่จะสามารถจัดการกับทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพลังในการประมวลผล, ความจุของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล, ความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่าย และ Hypervisor Layer ซึ่งองค์ประกอบต่างๆ ทั้งหมดนี้เป็นแบบเสมือนจริง, ถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์และและยังรวมไปถึงการจัดการจากส่วนกลาง
 
การรวมองค์ประกอบทั้งหมดเหล่านี้เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลลงในกล่องใบเดียว จากนั้นใช้หลายๆ กล่องเพื่อสร้างกลุ่มที่สามารถใช้ความจุร่วมกันได้ เพื่อช่วยขจัดปัญหาในการใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพในศูนย์ข้อมูลของคุณ โดยสิ่งนี้จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนไปกับเซิร์ฟเวอร์ที่ราคาแพงและไม่ได้ถูกนำมาใช้อะไรนอกจากรอให้ฝุ่นเกาะไปวันๆ ตลอดอายุการใช้งานของพวกมัน
 
นอกจากนั้นระบบ HCI ยังง่ายต่อการจัดการ เนื่องจากเป็นการจัดการแบบขั้นตอนเดียว (Single Management Layer) และ ชุดเครื่องมือเดียว (Tool set) ที่ใช้ในการจัดการกับสแต๊ก (Stack) ทั้งหมด ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุตามที่ Gartner กล่าวว่าแอปพลิเคชั่นที่มีความสำคัญต่อธุรกิจ (Business-Critical Application) ที่มีการใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม มากถึง 20% กำลังพิจารณาที่จะนำระบบดังกล่าวมาใช้งานบนระบบ Hyper-Converged ในปีหน้า
 
ข้อได้เปรียบที่ HCI สามารถนำเสนอให้กับธุรกิจนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการรวบรวมศูนย์ข้อมูลและการทำให้ข้อมูลไม่ซับซ้อนนั้นได้รับการบันทึกไว้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ Hyper Convergence ไม่เพียงทำให้ชีวิตของแผนกไอทีนั้นง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบ Hyper Converged ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวให้กับทุกภาคส่วนทั่วทั้งองค์กรได้อีกด้วย
 
การปรับใช้และการบำรุงรักษาโซลูชั่น HCI นั้นง่ายกว่าการจัดการเซิร์ฟเวอร์ฟาร์มแบบดั้งเดิม ซึ่งจากข้อมูลของ IDC พบว่า HCI ต้องการเวลาในการปรับใช้น้อยลงถึง 73% และใช้เวลาในการสนับสนุนน้อยกว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมถึง 51% จึงถือเป็นการช่วยประหยัดเวลาให้กับเจ้าหน้าที่ไอทีของคุณทำให้ไม่ต้องเรียนรู้การใช้งานใหม่ ดังนั้นทีมไอทีจึงมีเวลาในการพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มขีดความสามารถใหม่ๆ ให้กับส่วนที่เหลือของธุรกิจได้ เช่น การผลิตเครื่องมือที่เป็น Cloud-native SaaS ใหม่ๆออกมา ซึ่งทำให้ชีวิตของผู้คนนั้นง่ายขึ้นทั้งในด้านการเงิน, การขาย และทรัพยากรบุคคล
 
คุณจะรู้สึกขอบคุณแอปพลิเคชั่นที่กำลังทำงานในศูนย์ข้อมูลของคุณด้วยเช่นกัน เพราะการปรับปรุงประสิทธิภาพของแอปพลิเคชั่นที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% นั้นหมายความว่าแอปพลิเคชั่นเหล่านั้นจะมอบผลตอบแทนจากการลงทุนด้านเวลาได้เร็วยิ่งขึ้น ในส่วนของปริมาณงาน เช่น การวิเคราะห์ ที่จัดว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะความสามารถในการตัดสินใจทางธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการดำเนินการของ Actionable Intelligence ที่เร็วขึ้น 40% ซึ่งนับว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากสำหรับโลกธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
 
ประโยชน์อีกประการหนึ่งของ Hyper-Converged Infrastructure ที่จะช่วยประหยัดเวลาได้ก็คือ ความสามารถในการใช้ประโยชน์จากระบบอัตโนมัติภายในศูนย์ข้อมูลของคุณได้มากขึ้น เช่น การมีชุดเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ไม่แตกต่างกันทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องความสามารถเข้ากันได้ เนื่องจากองค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของพื้นที่การจัดเก็บ, การเชื่อมต่อเครือข่าย และประสิทธิภาพในการประมวลผลนั้น เป็นระบบเสมือนจริงและถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์ทั้งหมด ทำให้การเตรียมการสำหรับผู้ใช้จึงกลายเป็นเรื่องง่ายทันที

ระบบอัตโนมัติที่สมบูรณ์และการกำหนดตารางเวลาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาปรับใช้ในทุกภาคส่วนของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้การทำงานธรรมดาทั่วๆ ไป และงานที่ต้องทำซ้ำซากจำนวนมากถูกนำเข้าสู่การจัดการของศูนย์ข้อมูลโดยจะได้รับการดูแลและจัดการโดยอัตโนมัติ ส่วนเวลาที่เหลือนั้นก็สามารถปล่อยให้พนักงานไอทีของคุณไปโฟกัสกับการพัฒนาสิ่งที่มีความสำคัญอย่างแท้จริงต่อธุรกิจได้ อย่างเช่น การขยายธุรกิจ
 
เมื่อคุณต้องการที่จะขยับขยายธุรกิจของคุณ HCI ก็สามารถทำให้มันง่ายขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งการเพิ่มขีดความสามารถความจุศูนย์ข้อมูลของคุณนั้นทำได้ง่ายเพียงเพิ่มโหนดใหม่ในจำนวนมากเท่าที่คุณต้องการ แต่เนื่องจากพวกเขาใช้ฮาร์ดแวร์ที่เป็นสินค้าราคาประหยัดเป็นหลัก แทนที่จะเป็นเซิร์ฟเวอร์กรรมสิทธิ์ที่มีราคาแพง การขยายจึงสามารถทำได้ด้วยงบประมาณเพียงเล็กน้อยและขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยาก
 
สิ่งนี้สามารถนำไปใช้กับการขยายตัวในเชิงกายภาพได้เช่นกัน หากคุณกำลังจะเปิดศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่หรือสาขาระยะไกลใหม่ที่ต้องการติดตั้งฮาร์ดแวร์สำหรับโครงสร้างขั้นพื้นฐานแบบ On-site ผู้ให้บริการจะจัดส่งอุปกรณ์ Hyper-Converged ที่จำเป็นไปยังสถานประกอบการของคุณ โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นสามารถเสียบเข้ากับชั้นวางได้ทันที จากนั้นเพียงแค่ทำการจัดการจากส่วนกลางไปพร้อมกับฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่แล้วภายในองค์กรของคุณ แทนที่จะต้องทำการตั้งค่าและกำหนดค่าศูนย์ข้อมูลใหม่ทั้งหมดเพื่อเริ่มต้นการทำงาน
 
คุณสามารถโบกมือลาระบบจัดสรรทรัพยากรส่วนเกิน (Over-Provisioning) ไปได้เลย เพราะการขยายระบบ HCI นั้นง่ายมากโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่พิเศษสำหรับการขยายไปยังโครงการศูนย์ข้อมูลของคุณ เนื่องจากสิ่งนี้จะนำไปสู่การลดต้นทุนและยังถือเป็นการลดต้นทุนการเป็นเจ้าของให้ต่ำลง รวมไปถึงวงจรของการขยายตัวที่เร็วขึ้น และการสำรองข้อมูลนั้นก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นแพลตฟอร์ม SimpliVity ของ HPE ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการสำรองข้อมูล, การทำ Snapshot และคุณสมบัติการกู้คืนจากภัยพิบัติ ตลอดจนความสามารถในการป้องกันการสำรองข้อมูลซ้ำซ้อนและความสามารถในการใช้บริการด้านแพลตฟอร์มในรูปแบบของ Public Cloud เช่น Azure และ AWS เป็นต้น
 
จากการถอดบทความที่มีชื่อเสียงมีใจความหนึ่งที่ว่า "มีสามสิ่งในชีวิตที่แน่นอน นั่นก็คือความตาย, ภาษีและความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์" มันเป็นสิ่งที่หลีกเหลี่ยงไม่ได้ที่ความผิดพลาดกำลังบังคับให้ส่วนหนึ่งของศูนย์ข้อมูลของคุณเป็นแบบออฟไลน์ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะสิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความพร้อมในการใช้งาน เนื่องจากระบบ HCI มีระบบการกระจายซึ่งก็หมายความว่าข้อมูลจะถูกกระจายออกไปยังสาขาต่างๆ แม้ว่าแร็คทั้งหมดจะตกลงมา ก็จะไม่ทำให้การใช้งานแอปพลิเคชั่นของคุณต้องหยุดลง

ต้องขอบคุณการสำรองข้อมูลและการกู้คืนข้อมูลที่มีคุณลักษณะ Inbuilt ในขณะที่ความสามารถของ RapidDR นั้นจะทำการให้เกิดกระบวนการ Failover และ Failback โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้แพลตฟอร์ม SimpliVity ของ HPE ยังช่วยให้สามารถเรียกคืนข้อมูลจากการสำรองข้อมูลได้ในคลิกเดียวและยังสามารถลดเวลาในการกู้คืนได้ถึง 70% หรือมากกว่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการที่ไม่ใช่แบบอัตโนมัติ และแน่นอนนั่นหมายความว่ามันจะไม่เกิดการสูญหายของรายได้จากหน้าร้านค้าและจะไม่ทำให้พอร์ทัล (Portals) คำสั่งซื้อของลูกค้าต้องลดลง รวมทั้งจะไม่มีการสูญเสียผลิตภาพจากการหยุดทำงานของของแอปพลิเคชั่นภายใน ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นทางธุรกิจที่พนักงานของคุณไว้วางใจในการทำงานของพวกเขา
 
แพลตฟอร์ม SimpliVity ของ HPE นำเสนอโอกาสในการเพิ่มพลังให้กับธุรกิจของคุณ พร้อมด้วยประสิทธิภาพของแอปพลิเคชั่นที่เร็วยิ่งขึ้น, ความน่าเชื่อถือที่เพิ่มมากขึ้นและการจัดการศูนย์ข้อมูลที่จะช่วยทำให้คุณสะดวกสบายยิ่งขึ้น ผู้ใช้งาน SimpliVity ยังสามารถคาดหวังในเรื่องของความเร็ว, ความสามารถในการปรับขนาดที่ลื่นไหล, ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งความสามารถในการปรับใช้ Bleeding-Edge Technology ด้านการคำนวณที่ทันสมัยภายในสภาพแวดล้อมของพวกเขา

ธุรกิจของคุณจำเป็นต้องมีการเปิดใช้งานในรูปแบบดิจิตอลที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นไปที่ความคล่องตัวและความยืดหยุ่นสูงสุดในการใช้งาน นอกจากนี้การทำ Consolidation และการใช้ โครงการสร้างพื้นฐาน SimpliVity ที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ในศูนย์ข้อมูลของคุณยังสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ในฐานะของผู้นำได้อีกด้วย

ที่มา: 
https://bit.ly/363ZPNM
ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์