การสำรองข้อมูลของคุณอาจจะกลายเป็นความหายนะ!! ที่รอคอยการอุบัติขึ้นก็เป็นได้
Please wait...
1726202978.png
1731393918.jpg
1732076627.jpg
1730459076.jpg
1730782055.jpg
1730966771.jpg
1731999875.jpg
ENTERPRISE IT UPDATE
การสำรองข้อมูลของคุณอาจจะกลายเป็นความหายนะ!! ที่รอคอยการอุบัติขึ้นก็เป็นได้
 


บางทีคุณอาจคิดว่าไฟล์ของคุณได้รับการป้องกันไว้เป็นอย่างดีแล้ว – แต่คิดหรือไม่ว่าคุณอาจจะตกอยู่ในสภาวะที่ต้องพบเจอกับความรู้สึกประหลาดใจที่ขมขื่น เมื่อความเสียหายนั้นมาเยือน?
 
การ Backup ช่วยสำรองข้อมูลของคุณได้หรือไม่ ? มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น ตามปกติแล้วขั้นตอนการสำรองข้อมูลที่มีเสถียรภาพไม่ควรเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและจะต้องชัดเจน เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น คุณมีโอกาสน้อยมากที่จะสามารถเก็บข้อมูลที่สำคัญของคุณให้เป็นปัจจุบันได้ ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น และคุณจำเป็นต้องกู้คืนไฟล์ที่หายไป เอกสารสำคัญที่คุณกำลังดำเนินการอยู่อาจจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ
 
ถึงแม้ว่าคุณจะพยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้อง แต่วิธีการสำรองข้อมูลที่คุณเลือกอาจไม่ครอบคลุม หรือเข้าถึงยากกว่าที่คุณคิดไว้ และนั่นก็จัดว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก: เมื่อกล่าวถึงการสำรองข้อมูลสำหรับธุรกิจขนาดเล็กแล้ว พวกเค้าไม่สามารถที่จะยอมให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้ และในส่วนของผู้ใช้งานทั่วไป ก็อาจจะต้องมีการสูญเสียเอกสารสำคัญๆรวมถึงภาพถ่าย และวิดีโอ ที่ไม่สามารถทำการกู้คืนกลับมาได้ ถ้าระบบสำรองข้อมูลของพวกเขาทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังกับมัน

 

Sync เทียบกับ Backup

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน: การซิงโครไนซ์ไม่ใช่การสำรองข้อมูล บริการ Cloud-syncing เป็นบริการซิงค์โฟลเดอร์ในคอมพิวเตอร์ของคุณไปยังโฟลเดอร์ในเครื่องอื่นเพื่อไปยังระบบ Cloud ซึ่งเป็นบริการการซิงค์ผ่านระบบ Cloud เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการอัพเดตไฟล์สำคัญผ่านเครื่องมือต่างๆ แต่ถ้าคุณให้ความไว้วางใจกับบริการเช่นนี้ เพื่อเป็นการรักษาข้อมูลของคุณในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินด้านไอที คุณกำลังทำสิ่งที่มีความเสี่ยงอย่างร้ายแรง
 
ยกตัวอย่าง เช่น Dropbox, ไม่เพียงแต่ Dropbox จะทำการคัดลอกไฟล์ของคุณไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่คุณเป็นเจ้าของเท่านั้น มันยังทำการเก็บชุดสำรองข้อมูลของตัวเองไว้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณสามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าของไฟล์ได้ หรือนำรายการที่ถูกลบออกไปแล้วกลับมาได้อีกครั้ง คุณลักษณะนี้อาจจะเป็นตัวช่วยชีวิตอย่างแท้จริง: ในการกู้คืนไฟล์ที่ถูกลบ คุณสามารถเข้าสู่ระบบโดยผ่านทางเบราว์เซอร์, คลิกเลือกไฟล์จากนั้นคลิกไปที่ Deleted files ในแถบด้านข้าง จากนั้นให้ทำการค้นหาไฟล์ที่คุณต้องการเรียกคืน และคลิกที่ Restore
 
ข้อควรระวังที่อาจจะเกิดขึ้น นั่นก็คือ ไฟล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและถูกลบนั้น จะถูกเก็บรักษาไว้เพียง30 วัน หลังจากนั้นจะถูกเคลียร์ออกไป ในขณะที่ Dropbox สามารถช่วยเหลือคุณได้เป็นการชั่วคราว ดังนั้น มันจึงไม่เกิดประโยชน์ เมื่อคุณต้องการเรียกคืนเอกสารที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือลบไฟล์ไปแล้วในระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่คุณสามารถขยายช่วงเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลของคุณไว้ได้ถึง 120 วัน ด้วยการอัพเกรดเป็นบัญชี Dropbox Professional แต่คุณจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มในราคาที่สูงถึง £ 199 ต่อปี หรือคิดเป็นเงิน £ 19.99 ต่อเดือน
 
จากวิธีการข้างต้น จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นโซลูชั่นการสำรองข้อมูลที่เหมาะสม แต่บริการสำรองข้อมูลโดยเฉพาะจะช่วยให้คุณสามารถกู้คืนไฟล์ที่ถูกลบไปเมื่อหลายปีก่อน หรือย้อนกลับไปในอดีตที่มีการเปลี่ยนแปลงเอกสารอย่างสมบูรณ์จากต้นฉบับเดิมจนถึงปัจจุบัน ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเท่านั้น แต่ยังมีเส้นทางการตรวจสอบที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้คุณสามารถติดตามพัฒนาการแผนงานของคุณ นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ให้บริการการสำรองข้อมูลบางแห่ง ได้เสนอบริการ Authentication ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ในการตรวจสอบผู้ที่มาใช้งานระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่สามารถใช้เพื่อพิสูจน์ว่าไฟล์บางไฟล์ถูกสร้างขึ้นหรือแก้ไขตามวันที่ระบุ
 
แม้ว่าในขณะนี้เราจะเลือกใช้ Dropbox แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องที่มีความผิดปกติแต่อย่างใด ปัญหาที่คล้ายกันนี้ถูกนำไปใช้กับ Google Drive, iCloud, OneDrive เป็นต้น บริการซิงค์ควรใช้เฉพาะกับการซิงค์และการสำรองข้อมูล เพื่อไปยังเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อพร้อมใช้กับภารกิจนั้น ๆ

 

กลยุทธ์แบบ 3-2-1

เมื่อกล่าวถึงการสำรองข้อมูล มีคำแนะนำที่คุณจะต้องปฏิบัติตามเป็นมาตรฐานดังนี้คือ คุณควรทำการเก็บสำเนาไว้ 3 ชุด โดยการจัดเก็บในรูปแบบที่แตกต่างกัน 2 รูปแบบ ซึ่งอย่างน้อยจะต้องมีหนึ่งในนั้นที่ถูกเก็บในรูปแบบ Off-Site (คือ การทำภายนอกเว็บไซต์ เช่น ฝากลิงค์ ตามเว็บ บอร์ด เว็บ social เป็นต้น ) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่รู้จักกันในชื่อของแผน กลยุทธ์ 3-2-1 จุดสุดท้ายซึ่งเป็นจุดที่ควรให้สำคัญเป็นพิเศษ: ไม่ว่าคุณจะทำสำรองข้อมูลระบบของคุณด้วยความระมัดระวังเพียงใด หรือถ้าคุณเก็บมีเดียของคุณไว้ข้างๆเครื่องคอมพิวเตอร์ นั่นก็จะอาจจะเป็นการเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้, น้ำท่วม หรือแม้แต่การโจรกรรมได้เช่นกัน -นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการสำรองข้อมูลของคุณจึงอาจจะไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยที่สุดตามที่คุณได้คาดไว้
 
ข่าวดีก็คือการสำรองข้อมูลแบบ Off-Site เป็นเรื่องที่ง่าย: มีผู้ให้บริการสำรองข้อมูลจำนวนมากที่ใช้ระบบ Cloud เป็นหลัก สำหรับการสมัครสมาชิกแบบที่ไม่ต้องใช้งบประมาณที่สูงมากจนเกินไป แต่สามารถจัดการทุกอย่างให้กับคุณได้ อย่างไรก็ตาม จัดว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับ "Best-Effort" พื้นฐาน; และเพื่อความปลอดภัย, ความเร็ว และความสะดวกสบาย เป็นความคิดที่ดีที่จะคุณทำการสำรองข้อมูลไว้ในเครื่องด้วยเช่นกัน
 
จะเป็นความคิดที่ดี, ในกรณีที่คุณต้องการให้การสำรองข้อมูลในระบบของคุณได้รับการอัพเดตแบบเรียลไทม์ เพื่อที่ว่าทุกครั้งที่คุณมีการอัพเดตไฟล์ การสำรองข้อมูลจะได้รับการอัพเดตด้วย ซึ่งคุณก็สามารถเข้าถึงได้โดยการใช้ฟีเจอร์ Windows' File History ตามที่เราจะพูดถึงด้านล่าง (หรือ Time Machine ใน macOS) โดยใช้ NAS หรือไดร์ฟ USB ซึ่งเป็นปลายทางของคุณ
 
หากคุณให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการสำรองข้อมูล ดังนั้นจึงเป็นความคิดที่ดี ถ้าคุณจะเก็บชุดการอัพเดทชุดที่สองที่มีการปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อความบกพร่องอันเกิดจากการทำงานและภัยพิบัติ เป็นความคิดที่ดี, ถ้าการเก็บข้อมูลดังกล่าวจะอยู่ในตำแหน่งที่ที่แตกต่างกันกับแหล่งสำรองข้อมูลหลักของคุณ: การใช้ฮาร์ดไดร์ฟคู่จะช่วยให้ข้อมูลของคุณปลอดภัยมากกว่าการเก็บแบบสองโฟลเดอร์ในไดร์ฟเดียวกัน
 
และนี่ก็จัดว่าเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดจากความไว้วางใจในบริการ Cloud, แต่เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่อยากจะเตือนคุณ:  Apify ผู้ก่อตั้ง Jan Č urn ได้สูญเสียรูปภาพ จำนวน 8,000 รูป หลังจากที่อัพโหลดไปยัง Dropbox แล้วจึงพยายามที่จะนำรูปภาพเหล่านั้นออกจากฮาร์ดดิสก์ภายในเครื่องขอเขา เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ว่าง ในทางทฤษฎีเรื่องของเขาควรจะจบลงด้วยดี แต่ในขณะนั้นเขาใช้ฟีเจอร์ Dropbox's Smart Sync (โดยฟีเจอร์นี้จะสามารถใช้ได้เฉพาะบัญชีของ Professional เท่านั้น) ซึ่งมันควรจะถูกจัดเก็บไฟล์ไว้ในระบบ Cloud และสามารถดาวน์โหลดได้ตามที่ต้องการ
 
อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางๆของบทความที่เขาเขียนได้เล่าว่า , Čurn จำได้ว่าโปรแกรมไคลเอนต์ Dropbox เกิดข้อผิด พลาดในระหว่างการดำเนินการซิงค์เริ่มต้น ดังนั้นเขาจึงทำการยกเลิกการซิงค์โฟลเดอร์รูปภาพด้วยมือของเขาเอง "ทุกอย่างยังคงทำงานเรียบร้อยดี, Directories หายไปจากฮาร์ดไดร์ฟในเครื่อง แต่พวกมันทั้งหมดยังคงมีอยู่ในเว็บไซต์ Dropbox" เขาเขียนบอกเล่าไว้เช่นนั้น
 
แต่ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะดีไปหมด, อีกสองเดือนต่อมา Čurn ได้ค้นพบว่าโฟลเดอร์ภาพถ่ายของเขากลับว่างเปล่า บนเซิร์ฟเวอร์ก็เช่นกัน "[มัน] ดูเหมือนว่าไคลเอนต์ Dropbox จะทำการลบไฟล์ภายในเครื่องก่อน ก่อนที่จะมีการแจ้งเซิร์ฟเวอร์เกี่ยวกับการตั้งค่าตัวเลือกการซิงค์แบบใหม่" เขาตั้งข้อสังเกต "เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่ไคลเอนต์ล่มหรือสิ้นสุดลง ก่อนที่เซิร์ฟเวอร์จะได้รับการติดต่อ ไฟล์ก็จะยังคงถูกลบโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ หลังจากที่ไคลเอนต์ทำการรีสตาร์ทอีกใหม่ จะเห็นเฉพาะไฟล์บางไฟล์ที่มีอยู่ และซิงค์สถานะใหม่นี้กับเซิร์ฟเวอร์"
 
ภายหลังพบว่า ทีมวิศวกรรมของ Dropbox ได้ทำการกู้ไฟล์ของ Čurn กลับมาได้ 1,463 ไฟล์ แต่มีบางส่วนที่สูญหายไป และนี่เป็นคำเตือนหลักการที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง: การสำรองข้อมูลคือการทำสำเนา หากคุณมีเพียงสำเนาเดียวก็ไม่จัดว่าเป็นการสำรองมูล

 

การกำหนดเวลาในการสำรองข้อมูลของคุณ

ถ้าขั้นตอนการสำรองข้อมูลของคุณขึ้นอยู่กับการจดจำเพื่ออัพเดตข้อมูลที่คุณต้องการเก็บอย่างถาวร เมื่อถึงตอนนั้นแล้วมันอาจจะง่ายต่อความล้มเหลว; เครื่องมือสำรองข้อมูลแต่ละชนิดทำงานอย่างต่อเนื่อง หรือทำการอัพเดตเพื่อสำรองข้อมูลของคุณในช่วงเวลาปกติ โดยทั่วไปแล้ว เครื่องมือสำรองข้อมูลส่วนใหญ่ใช้วิธีการเข้าถึงที่เพิ่มมากขึ้น, ดังนั้นจะมีการเก็บเฉพาะไฟล์ใหม่และไฟล์ที่มีการอัพเดต ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา, และช่วยให้ความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลข้อมูลลดลง นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่าย โดยการเลื่อนวัน เมื่อคุณต้องลงทุนในพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับการสำรองข้อมูลของคุณ
 
ตั้งค่าช่วงของระยะเวลาในการปฏิบัติการให้น้อยที่สุด สำหรับการสำรองข้อมูลแต่ละแบบที่เพิ่มขึ้น การตั้งค่าทุกๆชั่วโมง ไม่ได้หมายความว่าบ่อยเกินไป: ถามตัวคุณเองว่า คุณมีโอกาสที่จะสูญเสียเวลากับการทำงานในตอนเช้าหรือไม่ ถ้าเวลาช่วงกลางวันในวันนั้นไฟดับ ทำให้ไดร์ฟของคุณเสียหาย และล้างข้อมูลซึ่งคุณได้ทำมาหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากคุณกำลังทำงานร่วมกับการเชื่อมต่อกับบรอดแบนด์ที่มีขีดจำกัด มันฟังดูมีเหตุผล ที่จะจำกัดการสำรองข้อมูลในระบบ Cloud ของคุณ เพื่อให้ทำงานในช่วงเวลาที่ไม่มีการตรวจสอบ (โดยทั่วไปคือ ตลอดทั้งคืน), ตราบใดที่คุณยังมีการสำรองข้อมูลภายในเครื่องอยู่ตลอดทั้งวัน
 
อย่าให้ความไว้วางใจกับการสำรองข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเพียงเท่านั้น แม้ว่าการสำรองข้อมูลเต็มรูปแบบเป็นระยะ ๆ จะช่วยให้คุณสามารถกู้คืนระบบทั้งหมดของคุณไปยังสถานะล่าสุดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย การผสมผสานระหว่างการสำรองข้อมูลที่เพิ่มขึ้นและเต็มรูปแบบมีความสำคัญเช่นเดียวกับการเก็บข้อมูลไว้ในหลายตำแหน่ง

 

การใช้โซลูชั่นการสำรองข้อมูลในตัวของ Windows

เครื่องมือที่ผสมผสานทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกันของ Windows จะช่วยให้คุณสามารถเก็บสำรองข้อมูลในเครื่องได้อย่างง่ายดาย เริ่มด้วยการเปิดใช้เครื่องมือ File History, ซึ่งใช้ไดร์ฟที่มีการเชื่อมต่อ หรือ NAS เป็นที่เก็บไฟล์สำคัญ ๆ รวมถึง Libraries, Desktop, รายชื่อติดต่อ และ Favourites ของคุณ โดยการเปิดหน้าต่างของการปรับตั้งค่าคอมพิวเตอร์ของคุณไปที่ 'การปรับปรุงและความปลอดภัย' และคลิกไปที่ ‘การสำรองข้อมูล’ ในแถบด้านข้าง ( หรือค้นหา Cortana สำหรับ Backup) คลิกไปที่เครื่องหมาย "+" ที่อยู่ข้างๆ ‘เพิ่มไดร์ฟ’ จากนั้นเลือกไดร์ฟภายนอกหรือสถานที่ตั้งเครือข่ายสำหรับการสำรองข้อมูลของคุณ การค้นหานี้ใช้สำหรับไดร์ฟ USB เท่านั้น ถ้าคุณต้องการใช้ NAS ให้รอสักครู่ แล้วคลิกไปที่ "Show all network connections" และเลือกจำนวนไฟล์ตามที่คุณต้องการใช้
 
อาจจะดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ให้คุณคลิกและกลับไปที่ Backup จะเห็นว่าปุ่ม Add drive ถูกแทนที่ด้วยสวิตช์สลับไปที่ On เพื่อเปิดใช้งานการสำรองข้อมูล คลิกตัวเลือกเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่ด้านล่าง เพื่อทำการระบุสิ่งที่อยู่ในชุดข้อมูลสำรอง, ความถี่ที่คุณต้องการให้สำรองข้อมูล (สามารถเลือกตั้งค่าได้ระหว่างทุกๆ 10 นาที ไปจนถึง ทุกวัน) กำหนดความถี่ในการสำรองข้อมูล ( สามารถเลือกได้ตั้งแต่สำรองข้อมูลทุกๆ 10 นาที ไปจนถึงสำรองข้อมูลวันละครั้ง) ต่อจากนั้นให้เลือกระยะเวลาในการเก็บข้อมูลสำรอง โดยเลือกว่าข้อมูลที่เก่าเกินระยะเวลานานเท่าใดถึงจะถูกลบทิ้ง หากระบบยังไม่เริ่มสำรองข้อมูล หรือถ้าต้องการสั่งให้เริ่มสำรองข้อมูล ณ ขณะนั้น คุณสามารถคลิกที่ปุ่ม Back up now เพื่อเริ่มดำเนินการสำรองข้อมูลได้ในทันที ซึ่งข้อมูลที่ถูกสำรองไว้นี้ จะอยู่ในโฟลเดอร์ File History ในฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เก็บข้อมูล
 
เมื่อทำเช่นนี้ Windows จะเริ่มต้นทำการสำรองข้อมูลไฟล์ที่แก้ไขแล้วอย่างเงียบ ๆ หากคุณต้องการกู้คืนไฟล์หรือโฟลเดอร์ เพียงคลิกไปที่ Explorer หรือคลิกที่ปุ่ม History ที่ปรากฏในแถบ เพื่อเรียกดูและคืนค่าเวอร์ชันเก่าและไฟล์ที่ถูกลบ การกู้คืนข้อมูลสามารถเลือกได้ว่าจะกู้คืนข้อมูลทั้งโฟลเดอร์หรือกู้คืนเฉพาะบางไฟล์ที่ต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถดูตัวอย่างไฟล์ก่อนทำการกู้คืนได้ เช่นกัน

 

สำรองไฟล์ในระบบ Cloud ของคุณ


ดังที่เราได้กล่าวมาแล้วข้างต้น การให้ไว้วางใจโดยการฝากไฟล์ของคุณให้อยู่ในการดูแลของบริการ Cloud-Syncing ไม่ได้เป็นการรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลเหล่านั้นแต่อย่างใด ก่อนอื่นคุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าโฟลเดอร์ Local ของคุณมีอยู่ในชุดข้อมูลสำรอง ดังนั้นไฟล์ที่ถูกจัดเก็บตามบริการซิงค์ต่างๆ เช่น Dropbox, OneDrive และ iCloud ควรจะได้รับการสำรองข้อมูลโดยอัตโนมัติ เพียงแค่ให้แอพพลิเคชั่นไคลเอนต์ของพวกเขาทำงานอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เครื่อง PC ของคุณใช้งานอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้สำเนามีการอัพเดต
 
ในส่วนของ Google ไดร์ฟนั้น มีความซับซ้อนมากกว่าที่คุณคิด เนื่องจาก Google ต้องการให้คุณทำงานผ่านเบราว์เซอร์และ Documents ที่ถูกจัดเก็บไว้ใน Local Machine ของคุณ มีเพียงเว็บลิงค์เท่านั้นที่เปิดไฟล์แต่ละไฟล์ในเว็บแอพพลิเคชั่น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าไฟล์บนเซิร์ฟเวอร์เป็นสำเนาเดียวที่คุณมี ซึ่งแน่นอนว่า เป็นสถานการณ์ที่เข้าข่ายว่าค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว
 
สำหรับโซลูชั่นที่เป็นเครื่องมือที่เรียกกันว่า InSync นั้น สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลิงค์เท่านั้น - แต่ยัง รวมถึงไฟล์ที่คนอื่นแชร์กับคุณ - และนอกจากนี้ยังแปลงให้อยู่ในรูปแบบ Microsoft Office หรือOpenDocument เพื่อให้คุณสามารถเปิดได้ภายในเครื่อง เนื่องจาก การซิงโครไนซ์และการแปลงผลการทำงาน ที่สามารถแปลงให้อยู่ในทั้งสองรูปแบบ ดังนั้นเมื่อมีการแก้ไขใด ๆ ที่คุณทำในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ มันจะถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์, เป็นผลให้ Google ไดร์ฟมีผลเช่นเดียวกับฟีเจอร์แบบออฟไลน์ เช่นเดียวกับ Office 365 ที่ให้คุณเพลิดเพลินกับการเชื่อมโยงกับแอพพลิเคชั่น Office แบบออฟไลน์ โดยที่คุณต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ใบอนุญาตตลอดชีพอาจมีราคาที่สมเหตุสมผลเลยทีเดียว สำหรับค่าใช้จ่ายเพียง 30 เหรียญ ที่คุณต้องเสียไป

 

Back up เว็บไซต์ของคุณ

ถ้าคุณเก็บบล็อกไว้ หรือใช้ CMS ในการจัดการเว็บไซต์ของคุณ สิ่งสำคัญที่คุณควรคำนึงถึง นั่นก็คือการสำรองข้อมูลที่มากเกินไป แม้ว่าคุณจะมีการจัดการพื้นที่หรือเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ร่วมกัน ซึ่งมันก็มีปัญหาที่เกิดจากการเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในที่เดียว: โดยที่โฮสต์มีความสามารถ - และทำ - ให้ล้มละลาย, หายสาบสูญ หรือประสบกับการโจมตีจาก DDoS และมัลแวร์
 
VaultPress ของ Automattic เป็นเครื่องมือสำรองข้อมูลที่ครอบคลุมสำหรับบล็อก WordPress ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำการสำรองฐานข้อมูลของคุณ แต่ยังรวมถึง Themes ของคุณ, การตั้งค่า, System Files และ การอัพโหลด โดยมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 39 เหรียญต่อปี สำหรับการสำรองข้อมูลในทุกๆวัน โดยมีการสำรองข้อมูลที่มีที่ระยะเวลาเก็บถาวร 30 วัน, การตรวจสอบสถานะความพร้อมใช้งานและการป้องกันการโจมตีด้วยความรุนแรง, การแสดงความคิดเห็น, Pingback และ Spam
 
ถ้าหากคุณไม่ต้องการอะไรที่ค่อนข้างแน่นหนา ลองดูส่วนขยาย BackWPup WordPress โดยที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถช่วยให้คุณสำรองข้อมูลไซต์ของคุณไปยัง Dropbox, S3 หรือเซิร์ฟเวอร์ FTP ได้ ถ้าต้องการที่จะติดตั้ง ให้วางเมาส์เหนือปลั๊กอินในแผงควบคุม WordPress คลิกไปที่ 'Add New' แล้วพิมพ์คำว่า 'BackWPup' ลงไปในช่องค้นหา ที่ด้านบนของหน้าจอต่อไปนี้
 
ในส่วนของเครื่องมือสำรองข้อมูลที่คล้ายกันที่มีให้สำหรับแพลตฟอร์ม CMS อื่น ๆ และ Control Panels ของอีกหลายโฮสติ้งที่มีฟีเจอร์เครื่องมือการสำรองข้อมูล สำหรับ Flat-Form หรือไซต์ที่ไม่ได้รับการจัดการ สำหรับ Parallels Plesk ช่วยให้คุณสามารถกำหนดเวลาการสำรองข้อมูลได้เพิ่มมากขึ้น และการ Backup ข้อมูลทั้งหมดไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ รวมถึงการกำหนดค่าของคุณ; โดยที่ค่ามาตรฐานตั้งต้น Destination คือโฟลเดอร์บนเซิร์ฟเวอร์เดียวกัน ซึ่งจัดว่าไม่เหมาะสม แต่คุณสามารถส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ FTP ที่แยกต่างหาก และหาวิธีป้องกันด้วยรหัสผ่านเพื่อเก็บข้อมูลที่เป็นผลลัพธ์
 
การสำรองข้อมูลอาจจะไม่ได้เป็นหัวข้อที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้น แต่เราได้ทำให้เห็นแล้วว่ามันง่ายแค่ไหนที่จะสามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่ใน Windows และยังเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่าย เช่น O & O DiskImage Professional และ Paragon Backup & Recovery การให้บริการสำรองข้อมูลโดยเฉพาะ ซึ่งให้บริการการจัดเก็บข้อมูลแบบ Off-Site เช่นเดียวกับ Backblaze และ Carbonite และทั้งหมดนี้ทำให้คุณสามารถตอบสนองความต้องการของกลยุทธ์ 3-2-1 ที่น่าเชื่อถือในการสำรองข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
 
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ควรบอก: เมื่อคุณได้ทำการตั้งค่าระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ทดสอบความสามารถในการกู้คืนไฟล์, ก่อนที่คุณจะให้ความไว้วางใจกับมันอย่างแท้จริง สำหรับข้อผิดพลาดในการกำหนดค่าที่ละเอียดอ่อน อาจหมายถึง คุณไม่ได้ทำการสำรองไฟล์ทั้งหมดที่คุณคิดว่าคุณได้ทำมันไปแล้ว หรือคุณอาจพบว่าการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ระบบคลาวด์ของคุณนั้น ช้าเกินไปที่จะนำคุณกลับสู่สถานะออนไลน์ในกรอบชองช่วงเวลาที่ยอมรับได้ ถ้าคุณพบกับปัญหาใด ๆ คุณจะดีใจที่คุณได้ทำการคลี่คลายปัญหาเหล่านั้นให้หมดไป ในขณะที่ทุกอย่างกำลังผ่านไปได้ด้วยดี


ที่มา: 
http://www.itpro.co.uk/

ควิกเซิร์ฟ
สินค้า
งานระบบ
บริการ
กิจกรรม
ออนไลน์